ดูแบบคำตอบเดียว
  #68  
เก่า 10-07-2012, 09:39
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เรียนปริยัติ แอบปฏิบัติ


บรรยากาศการเรียนหนังสือของท่านที่นครราชสีมาในครั้งนั้น มักมีเหตุได้เข้ากรุงเทพฯ อยู่บ่อย ๆ และเมื่อต้องโดยสารรถไฟก็ต้องยอมอดอาหารในวันนั้นเลยทีเดียว

“...ตอนเรียนหนังสือ เราไปเรียนที่โคราชแล้วเกี่ยวข้องกับกรุงเทพฯ อยู่เสมอ ไปกรุงเทพฯ จากกรุงเทพฯ..มาโคราช ไปมาบ่อยด้วยรถไฟ คือตอนก่อนไม่มีรถยนต์ ทางถนนรถยนต์ไม่มี มีแต่รถไฟ รถไฟเขาก็ไปตามเวลา เช่นตอนเช้า ไม่ได้เหมือนทุกวันนี้ซึ่งมีรถเต็มถนน ไม่ว่ารถไฟ รถยนต์เต็มถนน มันไม่มีนะ ถ้าไปไม่ทันเวลาไม่ได้ นี่เราก็ไป คือออกจากโคราชแต่เช้า รถไฟออก คือว่าต้องเสียสละแหละ (ไม่ฉัน) ตอนเช้าก็ตอนเช้า


นี่อันหนึ่งมันก็แปลก ๆ อยู่นะ ไปนั่ง คือวันนี้มาเรียกว่าตั้งใจเสียสละไม่ฉัน อยู่ในรถไฟ มันมีเทวดาอยู่นั้นจนได้ เทวบุตร เทวดามี เราก็นั่งอยู่ในนั้นไม่สนใจ เขาก็รู้นี่..พระท่านฉันตอนเช้าตอนอะไร ก็เขารู้เรื่องของพระนี่ เราก็นั่งของเราเฉย

แล้วอยู่ ๆ เขาเอาจานเอาอะไรในรถไฟ ตู้เสบียง เทวบุตรเทวดาอยู่ในนั้น เขาไปสั่งอาหารในตู้เสบียงเอามาถวายเต็มไปหมดเลย

คือเราก็เหมือนว่า ตัดสินใจไม่ได้ฉันละวันนี้ ตั้งใจไม่ฉันละ ที่ไหนได้เต็มเลย 'แน่ะ' ..มันแปลกอยู่นะ...”

อย่างไรก็ดีเมื่อว่างจากการเรียน ท่านจะพยายามหลบหลีกจากหมู่เพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกัน โดยแอบนั่งสมาธิในกุฏิคนเดียว หรือเดินจงกรมในช่วงเวลาดึก ๆ อยู่เสมอด้วยเกรงผู้อื่นจะพบเห็น อันทำให้ท่านเกิดความเก้อเขินในการปฏิบัติ ท่านเล่าแบบขบขันถึงเหตุผลที่ต้องแอบหลบเพื่อนมาภาวนา ดังนี้

“..เราภาวนาอยู่ทุกวันนี่ เรียนหนังสือ เราไม่เคยละนะ หากไม่บอกใครให้รู้ เพราะอยู่กับพวกลิงด้วยกัน ถ้าไปภาวนาเดี๋ยวมันมาพูดแหย่กัน บางทีไปแอบเดินจงกรมตอนดึก ๆ เงียบ ๆ แล้วเพื่อนฝูงก็เดินผ่านมาเจอเข้า เขาถามว่า ‘ทำอะไร ?’


เราเผลอบอกไปว่า ‘เดินจงกรม’

‘โฮ้! จะไปสวรรค์นิพพานเดี๋ยวนี้เชียวหรือเพื่อน ? คอยกันหน่อยนะ คอยกันเสียก่อน เรียนจบแล้วค่อยไปด้วยกัน’ เขาพูดหยอกล้อกันเล่น นั่นน่ะ พวกเดียวกันมันพูดกันได้นี่นะ จะ 'ว่าไง’ ไม่ถือสีถือสากัน ‘นี่ จะไปสวรรค์นิพพานนะนี่ พวกเราอย่าไปกวนท่านนะ ท่านกำลังเตรียมจะไปสวรรค์ นิพพาน’ ต้องมีแหย่กันอยู่อย่างนั้น


ตั้งแต่นั้นมาเข็ด เวลามาเจอกันกลางคืนขณะเรากำลังเดินจงกรม มีพระเพื่อนเดินมาถามว่า ‘ทำอะไร เดินทำไม ?’

‘โอ้ย! ผมเปลี่ยนบรรยากาศ นั่งดูหนังสือเหนื่อย จึงออกมาเดินเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง’ เราต้องตอบอย่างนี้จึงผ่านไปได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่ให้รู้ นั่งภาวนาเฉยไม่ให้รู้นะ ปิดประตู เราไม่ให้เห็น ถ้าออกมาก็เป็นลิงเหมือนเขาเสีย ถ้าเข้าในห้องเป็นแบบนั้น กลางคืนดึก ๆ ออกมาเดินจงกรม มันเป็นอยู่ในหัวใจนี่จะ 'ว่าไง' หากบอกใครไม่ได้ อย่างนี้ไม่บอกใครเลย เพื่อนฝูงอยู่ด้วยกันก็ไม่บอก เป็นลิงไปกับเขาเสียอย่างนั้น

ทางภาคปฏิบัติละเอียด ภาคปริยัติหยาบกว่ากัน หากอยู่ในขอบเขตของหลักธรรมวินัยด้วยกัน เวลาเราเรียนหนังสืออยู่นี้ทำตัวเหมือนไม่เคยภาวนา เก็บเงียบเลย แต่อันหนึ่งมันฝังอยู่ลึก ๆ ไม่จืดจาง มันรักมันสนิทมันติดใจในเรื่องกรรมฐาน เรื่องมรรคเรื่องผล เรื่องนิพพาน จากทำกรรมฐาน จากการภาวนา หากไม่แสดงต่อใครให้ทราบ..”

ในช่วงที่ท่านกำลังเรียนหนังสืออยู่นี้ ทางบ้านเริ่มเกิดความสงสัยเกี่ยวกับความคิดที่จะลาสิกขาของท่าน ว่าคิดอย่างไรบ้าง ? ดังนั้น ในคราวที่ท่านบวชได้ ๔ พรรษา มีโอกาสเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้าน โยมพ่อจึงได้ถามขึ้นมาว่า “ไม่อยากสึกบ้างหรือ ?

ครั้งนั้น พระลูกชายได้แต่นั่งนิ่งไม่ตอบว่าอะไร แต่ในใจของท่านขณะนั้นคิดว่า
“ไอ้เรื่องสึกนี้ไม่คำนึง มีแต่หมุนตัวเข้าสู่ธรรมของพระพุทธเจ้า”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-07-2012 เมื่อ 10:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา