ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 26-08-2012, 09:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,961 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อกำลังใจของเรามุ่งมั่น รู้ว่าคาถานี้ภาวนาแล้วจะเกิดผลอย่างไร กำลังใจที่มุ่งไปด้านเดียวนั้นแหละ จะทำให้เกิดความสำเร็จขึ้นมา เรียกว่า มโนมยา คือสำเร็จได้ด้วยใจ เมื่อถึงวาระนั้นสมาธิของเราเริ่มทรงตัวแล้ว เราก็แค่เอามาพิจารณาในวิปัสสนาญาณต่าง ๆ

เช่น เห็นความไม่เที่ยงของร่างกายนี้ เห็นความทุกข์ของร่างกายนี้ เห็นความตั้งอยู่ไม่ได้ ยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนไม่ได้ของร่างกายนี้ แล้วเกิดเบื่อหน่าย ไม่ปรารถนาการเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้อีก ก็เอาจิตเกาะพระนิพพานหรือเกาะภาพพระ แล้วภาวนาของเราต่อไป ก็จะเป็นการตัดลัดเข้าหาการปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผลในลำดับต่อไปนั่นเอง

ครูบาอาจารย์ท่านมีความฉลาด รู้ว่าถ้าสอนการภาวนาตรง ๆ สอนการรักษาศีลตรง ๆ ผู้คนจำนวนมากไม่สามารถที่จะรับได้ ท่านจึงให้ตัวบทพระคาถาต่าง ๆ ไปภาวนา โดยแจ้งให้ทราบว่า คาถาบทนั้นมีอานุภาพอย่างนั้น คาถาบทนี้มีอานุภาพอย่างนี้ แต่ว่าการปฏิบัติภาวนาต้องมีกติกาอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นต้น

เป็นการสอนให้คนอยู่ในกรอบของความดี ให้เคยชินกับศีล สมาธิ ปัญญาในเบื้องต้น เมื่อทำเกิดผล เกิดความมั่นใจแล้ว จะเอากำลังใจนั้นไปปฏิบัติในเรื่องของสมาธิภาวนา หรือว่าเอามาพิจารณาวิปัสสนาญาณ ก็จะมีผลดีแก่ตนเองสืบไปนั่นเอง

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกคนกำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจออกของเรา จะใช้คำภาวนาหรือพิจารณาอย่างไรก็ได้ตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๕

(ถอดจากเสียงเป็นตัวอักษรโดยเถรีและรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2012 เมื่อ 02:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา