พระอาจารย์กล่าวว่า "ก่อนหน้านี้ช่วงรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ดินทองผาภูมิไร่หนึ่งราคาเป็นล้าน พอมีข่าวเขื่อนแตกหลายครั้งเข้า เดี๋ยวนี้ไร่หนึ่ง ๓๐,๐๐๐-๔๐,๐๐๐ บาทก็พอซื้อได้ จากไร่ละเป็นล้านนะ..คนถือครองคนสุดท้ายนี่ไม่รู้จะเอาอย่างไร ในที่สุดก็..สามหมื่นก็สามหมื่นวะ..ดีกว่าไม่ได้คืนเลย
แต่ระยะหลังทองผาภูมิไปเน้นเรื่องยางพารากับปาล์มน้ำมัน เขาเห่อทำตามคนอื่นที่รวยเพราะเรื่องนี้ เคยเตือนพวกเขาแล้วว่า การปลูกพืชจะให้ดีนั้น เมื่อถึงเวลาถ้าขายไม่ได้ควรจะกินได้ ไม่อย่างนั้นคุณจะไปพึ่งพาอะไรใครได้ ขายไม่ได้ก็ไม่มีสตางค์ไปซื้อข้าวซื้อปลา ถ้าคุณมีพืชไร่อยู่ยังกินได้ คราวนี้เขาไปเห่อตามพวกที่เขารวย เห็นคนอื่นเขารวยเพราะยางพาราและปาล์มน้ำมัน ก็เลยปลูกกันยกใหญ่
ถามว่าปลูกแล้วดีไหม ? ก็ดี..อย่างน้อย ๆ เท่ากับทดแทนพื้นที่ป่าได้ แต่ไม่ดีตรงที่ว่าถ้าขายไม่ได้แล้วจะกินอะไร ส่วนใหญ่แล้วไม่ว่าจะเป็นพวกเขาหรือพวกเราก็ตาม เวลาทำกิจการอะไร เรามักจะมองรายได้อย่างเดียว เรามักจะคิดแบบ ๑ + ๑ = ๒ ทำแค่นี้ เดือนหนึ่งมีรายได้แค่นี้ ปีหนึ่งมีรายได้แค่นี้ หักรายจ่ายแค่นี้ เหลือเท่าไรแล้วก็จบ
แต่ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจจา ทุกอย่างไม่เที่ยง ถ้าเกิดว่าขายไม่ได้ขึ้นมาล่ะ ? เพราะฉะนั้น..ถ้าจะทำกิจการอะไรก็ตาม ต้องคิดหาทางถอยไว้ก่อน ว่าถ้าไม่เป็นไปตามที่เราวางแผนแล้วจะแก้ไขอย่างไร จะถอยไปยืนที่จุดไหน จะดึงเอาส่วนไหนมาโปะตรงนี้ถึงจะค้ำจุนกิจการให้อยู่ได้
ถ้าสามารถคิดคำตอบตรงนี้ได้เสร็จสรรพ จะทำกิจการอะไรก็ทำไปเถอะ ถ้ายังให้คำตอบตรงนี้กับตัวเองไม่ได้ อย่าเพิ่งไปทำเลย ถ้าไม่ใช่บุญเก่าดีจริง ๆ เห็นว่าเจ๊งมาเยอะแล้ว..!"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-01-2012 เมื่อ 04:04
|