"อีกประการก็คือ อาตมานอนภาวนา ก็แหงนหน้ามองหลังคากลดนั่นแหละ ห่างจากลำห้วยตั้งหลายสิบเมตร ทำไมเห็นชัด ๆ เหมือนกับไปยืนดูอยู่ข้างลำห้วย ต้องบอกว่าตอนผีหลอกเรามักจะโง่เสมอ ก็คือรู้ไม่เท่าทันถึงโดนหลอก ถ้ารู้เท่าทันก็ไม่โดนหลอก
ด้วยความตกใจว่าเด็กตกน้ำก็เลยวิ่งไปช่วย คว้าคอเสื้อได้ก็กระชากขึ้นมา พอเด็กหันหน้ามาอาตมาก็รู้แล้วว่าผีหลอกแน่นอน เพราะว่ามีแต่ตาโต ๆ จมูก ปาก อะไรก็ไม่มี ตอนนั้นก็คิดแต่ว่า หนอยแน่ะ...บังอาจมาหลอก จะหาภาชนะหรือกะโหลกกะลาสักใบหนึ่ง จับยัดเข้าไปแล้วสะกดเอาไว้สัก ๑๐๐ - ๒๐๐ ปีให้เข็ดเสียบ้าง...!
ปรากฏว่าหาไม่ได้ ด้วยความโมโหก็เลยทุ่มลงน้ำไป พอตกตูมลงไปที่น้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างก็หายวับไปกับตา ปล่อยให้อาตมายืนอยู่ตรงที่มืดตื๋อมองอะไรไม่เห็น ตอนรีบวิ่งไปดูไฟฉายก็ไม่ได้เอาไป เวรกรรมล่ะสิ....กลดของเราอยู่ด้านไหนหว่า ? ต้องมะงุมะงาหรา ค่อย ๆ คลาน ค่อย ๆ คลำ กว่าจะไปถึงกลดร่วมครึ่งชั่วโมง
จากประสบการณ์นี้ ขอบอกกับญาติโยมว่า ถ้าผีหลอกเรา ให้หิ้วคอไปถึงที่พักก่อนแล้วค่อยโยนทิ้ง ไม่อย่างนั้นถึงเวลามืดแล้วเราจะมองอะไรไม่เห็น ตอนเขาหลอกเรานี่จะชัดมาก ชัดเหมือนกับเวลากลางวันเลย"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2017 เมื่อ 20:23
|