ฉะนั้น ถ้าเรารู้จักสังเกตอารมณ์ใจของตนเอง ก็จะรู้ว่าตอนนี้คือวิตก กำลังนึกอยู่ว่าจะภาวนา ตอนนี้คือวิจาร ลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น คำภาวนาว่าอย่างไรก็รู้อยู่ ตอนนี้คือปีติ มีอาการอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๕ อย่างปรากฏขึ้น ตอนนี้คือสุข มีความเยือกเย็นทั้งกายและใจบอกไม่ถูก ลมหายใจก็เบาลง ละเอียดลง คำภาวนาก็ทรงตัวเองโดยอัตโนมัติ ขั้นตอนนี้คือเอกัคตารมณ์ กำลังใจตั้งมั่นอยู่ภายใน ไม่ได้สนใจภายนอก ใครจะตะโกนกรอกหูก็ไม่ได้สนใจ มั่นคงอยู่กับการภาวนา สิ่งใดสิ่งหนึ่งปรากฏผ่านสายตา ก็เฉย ๆ ไม่ได้สนใจ มั่นคงอยู่กับการภาวนา
ถ้ารักษาอารมณ์ใจอย่างนี้เอาไว้ได้ โดยที่ไม่คิดดิ้นรนจะให้เป็นไปมากกว่านี้ และไม่คิดอยากจะให้หลุดพ้นจากสภาพนี้ สมาธิก็จะทรงตัวแนบแน่นขึ้นไปอีก ตัววิตกคือความคิดจะภาวนา ตัววิจารคือลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้นก็หายไป บางทีลมหายใจละเอียดจนไม่รู้สึกก็มี บางทีคำภาวนาก็หยุดไปเฉย ๆ ถ้ามาถึงขั้นนี้ท่านก็เข้าถึงทุติยฌาน คือกำลังสมาธิขั้นที่ ๒ แล้ว
ถ้าเราไม่ดิ้นรนอยากให้เป็น และไม่ดิ้นรนอยากออกจากสภาพนั้น กำหนดดูกำหนดรู้ไปเฉย ๆ ว่าตอนนี้ไม่หายใจ ตอนนี้ไม่ภาวนา บางทีก็จะรู้สึกมีความเย็นปรากฏขึ้นบริเวณจมูก ปาก หรือคางของเรา แล้วความเย็นก็ค่อย ๆ ขยายออกไปทั่วตัว รู้สึกว่าตัวแข็งเป็นหินไปเลยก็มี บางคนก็รู้สึกว่าความเย็นปรากฏขึ้นที่ปลายมือปลายเท้า ความแข็งปรากฏขึ้นที่ปลายมือปลายเท้าก่อน แล้วค่อย ๆ ลามไปทั้งตัว และท้ายที่สุดร่างกายก็เหมือนกับแข็งเป็นหิน หรือแข็งเกร็งอยู่กับที่ เหมือนกับถูกใครมัดติดอยู่กับหลัก กระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ถ้ามาถึงขั้นนี้ก็คือสมาธิท่านเข้าสู่ตติยฌาน ก็คือฌานที่ ๓ แล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2016 เมื่อ 16:54
|