ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 28-06-2016, 13:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,292 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วสภาพร่างกายนี้ก็ยังไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา เป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมขึ้นมาเป็นเรือนร่างให้เราอาศัยอยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนที่แข็งเป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน จับได้ต้องได้ ก็คือธาตุดิน อย่างเช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น

ส่วนที่เหลวไหลเอิบอาบอยู่ในร่างกาย คือ ธาตุน้ำ เช่น เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เป็นต้น ในส่วนที่พัดไปมาในร่างกายคือธาตุลม เช่น ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างในท้อง ลมที่พัดไปมาในร่างกายเรียกว่าความดันโลหิต เป็นต้น ส่วนที่ให้ความอบอุ่นในร่างกายเรียกว่า ธาตุไฟ มีธาตุไฟที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ธาตุไฟที่เผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ธาตุไฟที่ช่วยในการย่อยอาหาร เป็นต้น

เมื่อเราแยกแยะออกมาจนครบถ้วนก็จะเห็นว่าไม่มีอะไรเหลือเป็นเรา เป็นของเราเลย แต่พอจับรวมกลับเข้าไปใหม่ มีหัว มีหู มีหน้า มีตา มีตัว เราที่เป็นดวงจิตปฏิสนธิ์มาอาศัยอยู่ตามบุญตามกรรมของเรา เราก็ไปยึดมั่นว่า นี่เป็นตัวกู นี่เป็นของกู แล้วสิ่งรอบข้างเราก็ไปยึดว่าโน่นก็เป็นของกู นั่นก็เป็นของกู กลายเป็นภาระที่แบกหนัก ถ่วงหนักมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ไปจนเราหลุดพ้นไม่ได้

เมื่อเห็นชัดว่าร่างกายของเราก็เป็นอย่างนี้ ร่างกายคนอื่นก็เป็นอย่างนี้ สัตว์อื่นก็เป็นอย่างนี้ เมื่อซักซ้อมทำไปบ่อย ๆ ปัญญาถึงก็จะเห็นความเป็นจริงของร่างกาย และสภาพจิตยอมรับว่านี่คือสภาพของเราอย่างจริงแท้ ไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลย ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ในที่สุดสภาพจิตก็หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

ดังนั้น...ทุกครั้งที่ท่านตั้งใจปฏิบัติภาวนา จับลมหายใจเข้าออกแล้วกำหนดภาพพระขึ้นมา เมื่อภาพพระมั่นคงแล้วก็แผ่เมตตา เมื่อแผ่เมตตาจนใจสบายดีแล้วก็มาพิจารณา เมื่อพิจารณาจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ก็ตั้งใจเอาจิตเกาะพระนิพพานหรือเกาะภาพพระเอาไว้ ย้อนกลับไปสู่การภาวนาใหม่ ให้ทำสลับไปสลับมาระหว่างการภาวนาและพิจารณาอย่างนี้ จึงจะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ

ลำดับต่อไป ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-06-2016 เมื่อ 16:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา