หลังจากนั้น สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาสอนต่อ มีความสำคัญดังนี้
เรื่องธรรมสมมุติ กับธรรมวิมุติ
๑. “เรื่องธรรมสมมุติกับธรรมวิมุติ หากจักพูดกับผู้ใดขอจงทำความเข้าใจ ในสภาพอารมณ์ของบุคคลผู้นั้นก่อน หากเขายังไม่เข้าใจธรรมสมมุติ ก็จักพูดเรื่องธรรมวิมุติไม่ได้ เพราะสภาพจิตของเขายังติดอยู่ในธรรมสมมุติมาก เขาเห็นเป็นของเที่ยง แต่พวกเจ้าบอกว่าไม่เที่ยง จุดนี้ระมัดระวังเอาไว้ให้ดี ๆ สภาวธรรมย่อมครอบงำบุคคลที่หลงติดอยู่ในสภาวะนั้น ๆ”
๒. “พวกเจ้าเองก็ใช่จักหลุดพ้น กาลนี้ก็เพียงแต่เข้าใจในธรรมสมมุตินั้น ๆ แต่ยังไม่หลุดพ้นอย่างจริงจัง ดังตัวอย่างที่พวกเจ้ายังติดอยู่ในขันธโลกของตนเองและของท่านฤๅษี เพราะตราบใดที่เรายังติดขันธ์ ๕ ของเราอยู่เพียงใด ก็ย่อมยังติดขันธ์ ๕ ของผู้อื่นอยู่เพียงนั้น และผู้ที่ไม่ติดขันธ์ ๕ ทั้งของตนเองและผู้อื่นจริง ๆ ก็คือพระอรหันต์ จึงเท่ากับพวกเจ้ายังติดอยู่ในธรรมสมมุตินั่นเอง”
๓. “อารมณ์ คือ ครูทดสอบจิตถึงเรื่องนี้ได้อย่างดีที่สุด หากขณะใดจิตของพวกเจ้าเข้าถึงธรรมวิมุติ อารมณ์ในขณะนั้นจักต้องว่างจากกิเลส คือ ปราศจากอารมณ์หลง อารมณ์ราคะและปฏิฆะ จึงจักเรียกว่าหลุดพ้นจากธรรมสมมุติได้”
๔. “เพราะฉะนั้น หมั่นตรวจสอบอารมณ์ไว้ให้ดี ๆ และจะพูด จะทำอะไร ให้คิดถึงผลได้ผลเสีย ที่จักเป็นเหตุให้เกิดการเบียดเบียนอารมณ์ของตนเองและบุคคลอื่นด้วย ธรรมส่วนใดหากจิตยังมีบารมีเข้าไม่ถึง พูดไปให้เขาคิดหรือคิดเองก็ดี จักหลงเข้าใจผิดในธรรมนั้น ๆ อารมณ์มิจฉาทิฏฐิก็จักครอบงำได้ง่าย ๆ อย่าทำตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน ด้วยการพูด การคิดในธรรมที่ยังเข้าไม่ถึงนั้น ๆ”
๕. “ดูตัวอย่างที่องค์สมเด็จปัจจุบัน ทรงตรัสถามบรรดาพระอริยสาวกถึงบารมีธรรม ในสมัยเสด็จลงมาจากสวรรค์ดาวดึงสเทวโลกให้ดี ๆ นั่นคือการตรัสยืนยันเกี่ยวกับขั้นตอนทางธรรม อันที่ประจักษ์ได้แน่ชัดว่า ผู้มีบารมีธรรมต่างกันจักรู้แจ้งในธรรมที่สูงกว่ามิได้เลย”
๖. “เมื่อเข้าใจตามนี้ ก็จงอย่านำโทษปรามาสพระรัตนตรัยให้เกิดแก่ตนเอง และอย่าให้เกิดแก่บุคคลผู้อื่นด้วย”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2010 เมื่อ 13:09
|