ดูแบบคำตอบเดียว
  #550  
เก่า 23-07-2020, 23:32
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ท่านเป็นเจ้าคณะภาค แต่เวลาไปนั้นท่านไม่สนใจ พูดแต่เรื่องธรรมปฏิบัติล้วน ๆ ท่านก็บอกตรง ๆ เลยว่า ‘ที่เป็นเจ้าคณะภาคอยู่นี้ เป็นเพื่อให้ความร่มเย็นแก่วงกรรมฐาน เป็นผู้ใหญ่ครอบไปหมด ไม่ให้มีใครมารังแก’

ท่านว่าอย่างนี้ แต่ธรรมดาก็ไม่มีใครรังแกแหละ แต่ท่านก็พูดของท่านอย่างนั้น นั่งปั๊บนี่พูดตั้งแต่เรื่องภาคปฏิบัติ เรื่องป่านั้นเขานี้.. ท่านเคยไปเที่ยวมาพอแล้วนี่นะ ภาวนาดีไม่ดีพระกรรมฐานสู้ท่านไม่ได้ ไปบิณฑบาตปั๊บมานี่ วางบาตรแล้วขึ้นไปไหว้พระ แล้วนั่งภาวนาก่อน จนกระทั่งได้เวลาแล้วลงมาฉัน นี่ปรกติของท่าน ฉันแล้วถ้าไม่มีแขกมีคน ท่านก็ลงไปทำวัตรเช้า พอกลับมาท่านก็ภาวนา แล้วก็พักตอนกลางวัน

พอตอนบ่าย ท่านก็เดินจงกรมอยู่ชั้นบน รับแขกตอนประมาณบ่ายโมงท่านถึงจะลงมา นี่เป็นกิจวัตรของท่านประจำ พอตกกลางคืนก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีธุระรับแขกรับคน ๒ ทุ่ม ท่านขึ้นแล้ว.. ขึ้นไปไหว้พระ นั่งภาวนา เดินจงกรม เราไปได้ยินเสียงกึ๊ก ๆ อยู่ข้างบน ท่านเดินจงกรม นี้เป็นประจำ

ท่านบอกว่า ‘เรานอนน้อยมาก เวลานอกนั้นเป็นเวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทั้งนั้น’

ฟังซินะ..พระกรรมฐานยังสู้ท่านไม่ได้ ท่านสนใจจริง ๆ ภาคปฏิบัติแต่ไหนแต่ไรมา เราก็ได้ไปดู เขาเอาศพของท่าน.. เปิดโกศออกดูทุกสัดทุกส่วนขาวทีเดียว เขาบอกว่านี่เป็นองค์ที่สี่ที่ไม่มีกลิ่น คือเอาธูปเอาอะไรมา เวลาเปิดออกแล้วไม่มีกลิ่นเลย ธรรมดา ๆ พวกมาจากสำนักพระราชวังเขามาจัดงานศพท่าน เขาบอกว่านี่เป็นองค์ที่สี่ ที่ตายแล้วไม่เน่าไม่เหม็น เป็นปรกติอยู่อย่างนี้ นี่เป็นองค์ที่สี่

ท่านสนใจธรรมปฏิบัติตลอดเลยนะ เพราะท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี หลวงปู่มั่นแหละเล่าให้ฟังว่า ‘เณรจูมนี่ ต่อไปมันจะได้เป็นผู้ใหญ่นะ ดูหูมันกาง ๆ ต่อไปจะได้เป็นผู้ใหญ่ เอาไปเรียนหนังสือเสียก่อน เลยไปฝากที่วัดเทพศิรินทราวาส สอบแล้วสอบเล่า ตกแล้วตกเล่า เรียกกันว่า มหาจูมหนังสือเน่า สอบเปรียญไม่ได้สักที

จากนั้นก็มาเป็นพระครู แล้วมาเป็นเจ้าคณะภาคอยู่นี่ตลอดมา ท่านสนใจกับครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหน แต่ก่อนไม่มีรถมีราท่านเดินเอานะ บ้านผือท่านก็ไป หลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหนท่านจะไป หนองผือท่านไปปีละ ๒ ครั้ง ออกพรรษาแล้วหนึ่ง และเดือนพฤษภาคมหนึ่ง ท่านเดินเข้าไป ท่านสนใจมาก

ไปนั่งปั๊บนี่ไม่มีเรื่องโลกเรื่องการปกครอง เรื่องปริยัติไม่มีเลย .. มีแต่ปฏิบัติ ภาคปฏิบัติล้วน ๆ พูดเรื่องจิตภาวนา ท่านหนักแน่นมากทีเดียวทางด้านธรรมปฏิบัติ หนักแน่นจนวาระสุดท้าย ว่าเป็นพระปริยัติก็มีแต่ชื่อเฉย ๆ ท่านบอกว่าท่านเป็นเจ้าคณะภาคไว้นี่ เพื่อให้ความร่มเย็นแก่วงกรรมฐาน ไม่ให้มารังแก ก็ไม่มีใครรังแกแหละ ท่านเป็นผู้ใหญ่ท่านดูแล มีเรื่องอะไรปั๊บท่านเข้าถึงเลย เป็นอย่างนั้น

วัดโพธิฯ นี้กรรมฐานเข้าไปค้างบ่อย ๆ แหละ ตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่ จากนั้นแล้วก็ไม่ได้ไป เราเองก็ไม่ได้ไป ไปก็ไปชั่วคราวไม่ได้ค้าง แต่ก่อนพระกรรมฐานผู้ใหญ่ ๆ เช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อ่อน ใครต่อใครผู้ใหญ่ ๆ แหละ..มา ยิ่งมีงานแล้วเอามาหมด..กรรมฐาน มาท่านก็บอก นี่ใครจะกราบจะไหว้ก็มากราบมาไหว้เสีย พระเหล่านี้เป็นพระสำคัญทั้งนั้น นาน ๆ จะได้พบท่านทีหนึ่ง มีงานทีหนึ่งพระกรรมฐานท่านเอามาหมด แล้วประชาชนเขาก็ได้ทำบุญให้ทานกับท่าน ท่านบอกตรง ๆ เลย
‘เอ้า.. ให้พากันทำบุญให้ทานเสียนะ พบพระอย่างนี้มันพบยากนะ’


ท่านพูดอย่างนี้แหละ เพราะท่านเป็นพระผู้ใหญ่ แล้วพระกรรมฐานมาค้างบ่อย ท่านไปเอามาจนได้ ไม่มีงานก็ไปเอามา อย่างเรานี้ไปเรื่อย บางทีท่านมาเอาเอง ท่านมาเองเลย

คิดดูซิ ถ่ายรูปที่ต้นโพธิ์ทางทิศเหนือของวัด นั่นละ..นั่งเป็นวงกลมถ่ายรูปเจ็ดแปดองค์หรือไง เราผอม ๆ นั่นก็เราป่วยนะ เรากำลังป่วยอยู่นี้ท่านมาเอาเอง เราบอก ‘กำลังป่วยเป็นไข้’

‘เออ.. ไม่เป็นไรแหละ ไปนู่นมันหายเอง’ แล้วเอาไปเลย เราจึงผอม ๆ พระกรรมฐานมาอยู่ที่นั่นเรื่อย ๆ แล้วชุ่มเย็นไปหมดนะ ทางภาคอีสานวงกรรมฐาน ท่านไปเที่ยวซอกแซกทุกแห่ง วัดไหนสำคัญ ๆ ท่านไปหมด ท่านชอบวงกรรมฐานมากที่สุด ท่านปฏิบัติกรรมฐานมาเป็นประจำเลย ไปนั่งปั๊บนี่มีแต่เรื่องอรรถ เรื่องธรรม เรื่องภาคปฏบัติ ไม่มีเรื่องการปกคงปกครอง ปริยัติอะไรไม่มีเลย เรื่องโลก เรื่องสงสารไม่มี มีแต่ภาคปฏิบัติล้วน ๆ

นั่งนี่สองสามชั่วโมงกว่าจะได้ลุก โธ่.. เราเจ็บเอวเกือบตาย..นั่นละ ไปทีไร.. ฟังท่านนั่งคุยธรรมะ ท่านก็เพลินของท่าน เราดูอาการก็รู้ ท่านเพลินในธรรมทั้งหลาย ท่านพูดด้วยความเพลินในธรรม เมื่อเห็นครูบาอาจารย์มาหาท่าน ฝ่ายกรรมฐานมามาก ๆ ท่านยิ่งรื่นเริงมากนะ ดูอาการของท่านยิ้มแย้มแจ่มใสทุกอย่าง ท่านพอใจกับวงกรรมฐานมากทีเดียว ท่านเอาแต่องค์สำคัญ ๆ แหละมา แต่ท่านเป็นนิสัยอันหนึ่ง ท่านพูดสนุกสบายธรรมดา ท่านเรียกอีตานั่นอีตานี่ ท่านไม่เรียกธรรมดา ท่านพูดสบายในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์

ส่วนมากท่านเป็นอุปัชฌาย์ทั้งนั้นแหละ ว่าอีตานั่นอีตานี่ ท่านว่างั้น ท่านว่าสบายไปเลย เราผู้ฟังขบขันจะตาย แต่ท่านพูดแบบสบายไปเลย พูดในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ที่สนิทสนมกัน ท่านพูดแบบสบายไปเลย อีตานั้นอีตานี่ ไม่ได้ยินท่านว่า ‘อีตา’ ตั้งแต่เราหนึ่ง กับท่านอาจารย์ฝั้น ท่านอาจารย์ขาว สามองค์ .. เราคอยฟัง อีตานั่นอีตานี่ไม่เคยออก ท่านฝั้น ท่านขาว มหาบัว นอกนั้นอีตาทั้งนั้นแหละ ท่านเรียกอีตาติดปากท่านเป็นนิสัย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2020 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน