ดูแบบคำตอบเดียว
  #62  
เก่า 13-11-2018, 20:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,877 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราเริ่มหาภาชนะตุนน้ำกันแต่เนิ่น ๆ นะ เพราะว่าจะแล้งมาก เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ทิพจักขุญาณก็ได้ จำไว้เลยว่าปีไหนฤดูหนาวมาเร็ว ปีนั้นแล้งนาน ฉะนั้น..ตุนน้ำไว้แต่เนิ่น ๆ หาถังบรรจุสัก ๑๐๐ ลิตร หรือ ๕๐ ลิตร เอาไว้สัก ๒-๓ ใบ ถึงเวลาประปาหายไป ๒-๓ วัน เราก็ยังมีใช้อยู่

ญาติโยมไม่ได้อยู่ในยุครองน้ำตั้งแต่ตี ๓ ได้แค่พอหุงข้าวตอนตี ๕ อาตมาเจอมาแล้ว จะได้รู้ว่ากรุงเทพฯ ของเราจริง ๆ แล้วไม่ได้น่าอยู่เท่าไรหรอก ถ้าจะซักผ้าก็รองน้ำตั้งแต่ ๕ โมงเย็น น้ำไปพอซักเอาพรุ่งนี้เช้า

หลายคนน่าจะผ่านข้าวโอชามาแล้ว และน่าจะลืมไปแล้วด้วย ตอนนั้นต้องแบ่งสันปันส่วนกันเลยนะ ไม่มีบัตรปันส่วน
ซื้อไม่ได้ด้วย ข้าวโอชาเป็นข้าวเจ้าผสมข้าวเหนียว ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ละครอบครัวมีกี่คน ก็จะปันส่วนให้ตามจำนวนคนในครอบครัว ครอบครัวใหญ่ก็ซื้อได้มากหน่อย ครอบครัวเล็กก็ซื้อก็ได้น้อยหน่อย ใครเกิดไม่ทันก็ถือว่าโชคดีไป

อาตมาทันตั้งแต่ยุคข้าวยากหมากแพง ต้องกินขุยไผ่ อีกยุคหนึ่งไม่ได้กินขุยไผ่ แต่กินข้าวกล้อง กินข้าวโพด กินมันเทศ ยุคกินข้าวกล้องถือว่ายังดีที่มีข้าวกิน ยุคที่กินขุยไผ่นี่ข้าวยังไม่มีให้กินเลย

ถึงเวลารุ่นพ่อรุ่นแม่ต้องหากลอย เอาหัวกลอยมาปอกเปลือกฝานเป็นแผ่นบาง ๆ ใส่เข่งเอาไปตั้งไว้ในทางน้ำไหล ๒ วัน ๓ วัน ต้องหมั่นไปพลิกบ่อย ๆ เพื่อให้น้ำขื่นน้ำเมาละลายไปกับน้ำ ต้องไปเหยียบไปอะไรกว่าจะได้ที่ก็หลายวัน แต่ก็กินไม่ค่อยอิ่มเท่าไร แถมเผลอเมื่อไรก็เมารากแตกรากแตนอีก คนที่กินกลอยแทนข้าวนานหลาย ๆ เดือน จะมีอาการเหมือน ๆ กันหมด คือผอมซี่โครงขึ้น แต่พุงป่อง ๆ ลักษณะเหมือนกับเป็นตานขโมย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-11-2018 เมื่อ 20:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา