ดังนั้น...ในส่วนของโมหะ คือความหลงนั้น นอกจากจะต้องใช้อานาปานสติ เพื่อสร้างสมาธิให้เข้มแข็งพอแล้ว ยังจะต้องใช้ปัญญาประกอบด้วย ก็คือเห็นทุกข์เห็นโทษว่า ในส่วนของราคะ โลภะ โทสะนั้น ถ้าเราประกอบไปแล้วจะมีโทษอย่างไร ในปัจจุบันชาตินี้เราก็ต้องเดือดร้อนเพราะโทษนั้น ๆ ถ้าหากว่าตายไปในภพหน้า เราก็ยิ่งเดือดร้อนหนักขึ้นไปอีก
ถ้าเราเห็นโทษ สภาพจิตก็จะเบื่อหน่าย จะไถ่ถอนออกมา ไม่ไปยุ่งเกี่ยวด้วย ทำให้โอกาสที่โมหะจะชักนำเราให้คิดผิด พูดผิด ทำผิดก็มีน้อยลง หรือถ้าสามารถละได้เด็ดขาดเป็นสมุทเฉทปหาน เราก็จะไม่มีโอกาสคิดผิด พูดผิด ทำผิด ไปจากทำนองคลองธรรมอีก
แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ บางทีก็เหมาะก็ควรสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ยังมีคนส่วนน้อยที่จำเป็นต้องใช้กองกรรมฐานอื่น ๆ จึงจะแก้ไขได้ ยกตัวอย่างก็คือตัวของอาตมาเอง สมัยก่อนที่จะฝึกในเรื่องของการตัดละกามราคะ ก็พยายามที่จะฝึกหัดอสุภกรรมฐานและกายคตานุสติกรรมฐาน แต่ปรากฎว่าฝึกไปฝึกมาเหมือนกับสภาพจิตด้าน คือเกิดความเคยชิน ทำให้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่สามารถช่วยในการระงับยับยั้งกามราคะได้
กลับไปได้จากคำสอนของพระรัฐบาลเถระ ที่กล่าวกับพระเจ้าโกรัพยะซึ่งถามว่า "ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นคนหนุ่ม ย่อมมากด้วยกามราคะ เหตุใดจึงทรงพรหมจรรย์อยู่ได้ ?"
พระรัฐบาลเถระให้พิจารณาว่า มาตุคามนี้ ถ้าตั้งในที่แห่งมารดาได้...ก็ตั้งไว้ในที่แห่งมารดา
มาตุคามนี้ ตั้งไว้ในที่แห่งพี่สาวได้....ก็ตั้งไว้ในที่แห่งพี่สาว
มาตุคามนี้ ตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาวได้....ก็ตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาว
มาตุคามนี้ ตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาวได้...ก็ตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาว
เมื่อพิจารณาดังนีก็คือการที่เราใช้พรหมวิหาร ๔ นั่นเอง รักเขาเหมือนคนในครอบครัวของเรา ในเมื่อสามารถรักเขาเหมือนคนในครอบครัวของตนเอง กามราคะก็ไม่เกิดขึ้น เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-12-2017 เมื่อ 19:41
|