ดูแบบคำตอบเดียว
  #324  
เก่า 17-02-2016, 17:49
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

มาฆบูชา

วันมาฆบูชา คล้ายกับวันปลงพระชนมายุสังขารของพระพุทธเจ้า ที่จะทรงลาโลกลาสงสาร หรือลาเรือนจำแห่งวัฏจักร สละธาตุขันธ์ทิ้ง เพราะเป็น “ภารา หเว ปัญจักขันธา” มาเป็นเวลาแปดสิบพรรษาแล้ว ซึ่งเป็นภาระที่หนักมาก ทรงแบกมาถึง ๘๐ ปี หนักตลอดเวลา ไม่เคยเบาเลยคือธาตุขันธ์นี้แล อย่างอื่นยังมีเบาบ้างหนักบ้าง พอได้หายใจโล่ง ข้าว น้ำ เราหาบหิ้วมาหนัก ๆ นี่ เราคดกินไป รินไป ใช้อย่างอื่นไปก็หมดไป หมดไปแล้วก็เบาไป ส่วนธาตุขันธ์แบกมาตั้งแต่วันเกิดไม่เคยเบา หนักมาเรื่อย ๆ ยิ่งเฒ่ายิ่งแก่ กำลังวังชาที่จะแบกจะหามไม่พอ ก็ยิ่งปรากฏว่าหนักขึ้นไปโดยลำดับ ท่านจึงว่า “ภารา หเว ปัญจักขันธา” ขันธ์ทั้งห้านี้เป็นภาระอันหนักมาก”

แบกรูป แบกกายหนักแล้วยังไม่กลัว ยังแบกทุกขเวทนาที่มีอยู่ในกาย แบกสัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งล้วนแต่เป็นของหนัก และยังทิ่มแทงหัวใจเราอีกด้วย ไม่เพียงแต่หนักเฉย ๆ มันยังมีหนามอันแหลมคมเสียบแทงเข้ามาภายในใจอีก

พระพุทธเจ้า ท่านทรงอดทนแบกธาตุขันธ์นี้มาจนถึง ๘๐ พรรษา วันนี้พูดง่าย ๆ ก็ว่า

“โอ๊ย ! ขันธ์นี้เหลือทนแล้ว ลาเสียทีเถอะ !” อันเป็นการปลงพระทัยว่าจะทรงปลงพระชนมายุสังขาร จากนี้ไปอีกสามเดือนจะทรงสลัดปัดทิ้งภูเขาภูเรานี่เสียที ทรงตรึกในวันเพ็ญเดือนสามเช่นนี้ ในวันเพ็ญเดือนสามนั้นเองปรากฏว่า ยังมีพระสาวก ๑,๒๕๐ องค์ ต่างองค์ต่างมาด้วยอัธยาศัยน้ำใจของตัวเอง ซึ่งไม่ต้องถูกเชื้อเชิญนิมนต์มาแม้แต่องค์เดียว มารวมกันในวันนั้นโดยพร้อมเพรียง จึงได้ประทานพระโอวาท เป็น วิสุทธิอุโบสถ ขึ้น ให้บรรดาสาวกอรหันต์ทั้งหลายเป็นเครื่องรื่นเริงในธรรมของพระพุทธเจ้าที่ประทานในวันนั้น ในบทความย่อ ๆ ว่า


สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาป ความเศร้าหมองอันเป็นความทุกข์ทั้งปวง หนึ่ง ... จะทำด้วยวิธีใด ใจจึงจะไม่เศร้าหมอง ? กุสะลัสสูปะสัมปะทา จงยังความฉลาดให้ถึงพร้อม เพื่อจะแก้ไข เพื่อซักฟอกความเศร้าหมอง คือ “บาป” นั้นออกจากใจ แล้วกลายเป็น สะจิตตะปะริโยทะปะนัง ขึ้นมา คือใจจะผ่องใส... นี่คือพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ อะนูปะวาโท อย่าไปกล่าวไม่ดีกับผู้หนึ่งผู้ใด อะนูปะฆาโต อย่าฆ่า อย่าทำลาย หรือทำร้ายสัตว์ มนุษย์ ไม่ดี ปาฏิโมกเข จะ สังวะโร สำรวมอยู่ในข้ออรรถข้อธรรมที่จะเป็นเครื่องถอดถอนกิเลส มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง ให้รู้จักประมาณในการกินอยู่พูวาย อย่าให้ฟุ่มเฟือยจนเกินเหตุ สำหรับนักปฏิบัติให้รู้จักประมาณในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับตน ปันตัญจะสะยะนาสะนัง ให้แสวงหาที่นั่งที่นอนอันสงัด เพื่อกำจัดกิเลสด้วยความวิเวกนั้น ๆ อะธิจิตเต จะ อาโยโค พึงประกอบจิตให้ยิ่งในอรรถธรรม ด้วยสติปัญญาไปโดยลำดับ

นี่เป็นพระโอวาทที่ประทาน เป็นเครื่องรื่นเริงแก่บรรดาพระสาวกอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ในเวลาบ่ายซึ่งคล้ายกับวันนี้ พระโอวาททั้งหมดนั้นเป็นเครื่องรื่นเริงสำหรับสาวกอรหันต์เหล่านั้น ไม่ใช่แสดงเพื่อให้ท่านเหล่านั้นยึดเป็นเครื่องมือ เพื่อซักฟอกกิเลส หรือนำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสาสวะออกจากจิตใจแต่อย่างใด เพราะท่านเหล่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้วทั้งนั้น จึงเรียกว่า “วิสุทธิอุโบสถ” ที่ประทานพระโอวาทในท่ามกลางพระสาวกอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์นี้ก็เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ปรากฏอีกเลยในศาสนาของพระพุทธเจ้า ทั้งตอนที่ยังทรงพระชนม์อยู่และเวลาที่ปรินิพพานไปแล้ว และตลอดไปคงไม่มีซ้ำอีก

ที่เราระลึกถึงท่านเหล่านั้น ก็เพราะท่านเป็น “อัจฉริยบุคคล” เป็นบุคคลอัศจรรย์ ในท่ามกลางแห่งมนุษย์ทั่วโลกที่ล้วนเป็นผู้มีกิเลสโสมม หมักหมมอยู่ภายในใจ ไม่ปรากฏแม้คนหนึ่งจะบริสุทธิ์อย่างท่าน

เมื่อขยายความออกก็มีเท่านี้ นี่เป็นพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หรือเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ประทานไว้ ...

ถึงวันเพ็ญเดือนหก ก็เป็นวันปลงสังขารตามที่ทรงประกาศไว้ ตั้งแต่วันเพ็ญเดือนสามซึ่งคล้ายกับวันนี้ จากนั้นมาเรื่องธาตุเรื่องขันธ์สิ่งบังคับก่อกวน ก็หมดสิ้นไปจากพระพุทธเจ้า เป็น “อนุปาทิเสสนิพพาน” ล้วน ๆ หมดความกังวล หมดความรับผิดชอบในสมมุติทั้งปวง ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นี่เรียกว่า “ธรรมเหนือโลก” “ธรรมสุดส่วน”...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 19-02-2016 เมื่อ 09:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา