พระอาจารย์เล่าการเดินทางไปเมืองจีนว่า "กำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเพราะความกลัวของคน ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกทั้งหลายล้วนแล้วแต่กลัวอาชญา กลัวการลงโทษ กลัวความเจ็บ กลัวความตาย ต้องทุ่มทุนมหาศาลนับเป็นเงินประมาณไม่ได้ สร้างเครื่องป้องกันขึ้นมา
พออาตมาขึ้นไปถึงป้อมสูงสุดแล้วมองลงมา จะเห็นกำแพงเมืองจีนเลื้อยไปตามแนวเขา ชี้ให้โยมเขาดูว่าด้านบนที่เป็นเขาสูงไม่ได้สร้างกำแพงเลย เขาสร้างเฉพาะเนินเขาที่คาดว่าข้าศึกพอจะปีนข้ามมาได้ ส่วนบริเวณที่สูงชันเขาไม่ไปสร้างให้เสียเวลา ไม่ทราบว่าหมดงบประมาณไปเท่าไร หมดสิ้นชีวิตคนไปเท่าไร กว่าจะสร้างเสร็จขึ้นมา
กำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นไปตามกรรมโดยแท้ บุคคลที่สร้างกรรมดีก็ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวน บุคคลที่สร้างอกุศลกรรมทำชั่วไว้มาก ก็ต้องมานั่งอกสั่นขวัญแขวน ว่าเมื่อไรจะโดนเขาเบียดเบียน เมื่อไรเขาจะยกทัพมาตี ทหารที่ไปอยู่ประจำการตามป้อมก็เท่ากับสุดหล้าฟ้าเขียว ไปอยู่กันเป็นปี ๆ
แต่ระบบแจ้งข่าวสมัยนั้นเร็วมาก ใช้วิธีจุดไฟแจ้งข่าวศึก ป้อมที่อยู่ถัดไปมองเห็นเปลวไฟก็จะจุดต่อไปเรื่อย พักเดียวข่าวก็ข้ามกำแพงหมื่นลี้แล้ว พรรคพวกจะได้เตรียมตัวทัน
สมัยก่อนนั้นสิ่งที่เขาใช้จุดไฟเป็นขี้หมาป่า เขาว่ามีความชื้นสูงหรือมีคาร์บอนสูงก็ไม่รู้ จุดแล้วควันจะดำหนาทึบ เห็นไกลมาก ดังนั้น..คนนอกด่านจะอาศัยขี้หมาป่าจุดไฟเพื่อแจ้งข่าวศึก"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2012 เมื่อ 12:12
|