เนื่องเพราะว่า เมื่อความสุข ความสงบเยือกเย็นเกิดขึ้นแก่ตัวเรา ถ้าเราจะใช้ปัญญาประกอบด้วยการคิดต่อไปว่า ตัวเราที่เป็นโลกียฌานขั้นต้นเท่านั้น ยังมีความสุขเยือกเย็นขนาดนี้ บุคคลที่ทรงฌานที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ หรือสมาบัติ ๘ จะมีความสุขขนาดไหน ? แล้วบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ ที่มีความสุขเยือกเย็นด้วยอำนาจของโลกียฌานนั้น พระโสดาบันที่ท่านเป็นโลกุตระ ก้าวขึ้นสู่เหนือโลกแล้ว ไม่ลงสู่อบายภูมิอย่างแน่นอนแล้ว ท่านจะมีความสุขขนาดไหนต่อความปลอดภัยในชีวิต ต่อความปลอดภัยในคติของตน ?
แล้วพระสกิทาคามี ที่มีรัก โลภ โกรธ หลง อ่อนจางบางเบาลงไปมากกว่าพระโสดาบันหลายเท่า จะมีความสุขขนาดไหน ? พระอนาคามีที่ละทั้งราคะและโทสะอย่างสิ้นเชิงแล้ว รอเวลาตรัสรู้เข้าสู่พระนิพพาน ไม่ต้องลงมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จะมีความสุขขนาดไหน ? แล้วพระอรหันต์ที่ท่านหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิงจากกองทุกข์ทั้งปวง จะมีความสุขยิ่งขึ้นไปขนาดไหน ?
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นจอมพระอรหันต์ทั้งปวง พระองค์ท่านมีความสามารถเหนือกว่าพระอรหันต์ทั่วไปจนนับประมาณไม่ได้ จะมีความสุขขนาดไหน ? เราใช้แค่ปัญญาเล็กน้อยนี้ตามดูตามมองไป เราก็จะเห็นคุณของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลายอย่างชัดเจน จิตของเราก็จะเกิดความเคารพในคุณของพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้น ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ
เราก็ใช้ปัญญาต่อไปอีกนิดหนึ่งว่า ตัวเรานี้เกิดมาแล้วจะต้องตายอย่างแน่นอน ตัวเราก็ตาย คนอื่นก็ตาย สัตว์อื่นก็ตาย ในเมื่อเราก้าวไปสู่ความตายอย่างแน่นอนเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาใหม่ เพื่อพบกับความทุกข์อย่างนี้เราไม่พึงปรารถนาอีก เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-07-2012 เมื่อ 17:55
|