ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 31-12-2010, 09:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,320 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขอทุกท่านอย่าได้ลืมว่า โอวาทปาฏิโมกข์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงขึ้นว่า ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา ขันติคือความอดกลั้น เป็นตบะเครื่องเผากิเลสอันยอดเยี่ยมอย่างยิ่งของนักปฏิบัติ คือ ถ้าหากว่าจะเราประสบความสำเร็จนั้น เราจะต้องมีความอดทนอดกลั้น

ความอดทนอดกลั้นนั้นมีทั้ง ๒ อย่าง คือ ความอดทนอดกลั้นทางกาย และความอดทนอดกลั้นทางใจ ความอดทนอดกลั้นทางกาย อย่างเช่น ทนต่อความเจ็บปวด ทนต่อความหิวโหย ทนต่อความเมื่อยขบ เป็นต้น ส่วนความอดทนทางใจนั้น คืออดทนต่อแรงกระทบต่าง ๆ ที่เกิดด้วยอำนาจของรัก โลภ โกรธ หลง พยายามอดทนไว้ไม่คล้อยตามไป เพราะถ้าเราคล้อยตามไปเมื่อไหร่ กิเลสจะมีกำลังมากกว่า แล้วเราจะรั้งกลับได้ยาก

นักปฏิบัติที่ดีจึงควรที่มีความอดทนอดกลั้น เพื่อจะปฏิบัติไปถึงจุดหมายของตนให้ได้ แล้วทุ่มเทปฏิบัติอย่างจริงจัง อย่าทำเป็นเล่น และอย่าทำ ๆ ทิ้ง ๆ การที่เราปฏิบัติภาวนา เหมือนกับการเดินทวนน้ำ หรือการว่ายน้ำทวนกระแส จะเหนื่อยและยาก ถ้าเราปล่อยเมื่อไรก็จะไหลตามน้ำไปทันที

เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิบัติที่ต่อเนื่อง ไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นว่าปฏิบัติไปเสียเวลาเปล่า เพราะว่าทำไปแล้วเราก็ปล่อยทำให้ลอยกลับไปที่เดิม หรืออาจจะไกลว่าเดิมเสียด้วย เมื่อถึงเวลาปฏิบัติก็เป็นการว่ายทวนน้ำขึ้นมาใหม่ อย่างเก่งก็คงจะได้ที่เท่าเดิมของวันก่อน พอปล่อยก็ลอยไกลไปอีก ถ้าทำอย่างนี้บ่อย ๆ ผลงานก็ไม่มีให้เห็น ความปีติใจไม่เกิดขึ้น อาจจะทำให้ท่านทั้งหลายทิ้งการปฏิบัติไปเลยก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-12-2010 เมื่อ 14:16
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา