ถาม : ยั้งเอาไว้ให้ช่วยกัน ?
ตอบ : เขาบอกว่า ตอนนี้ความรู้สึกผูกพันระหว่างครอบครัวก็ไม่มี ที่เคยรักก็เฉย ๆ ที่เคยเกลียดก็เฉย ๆ ไม่รักไม่เกลียดใครแล้ว
ถ้าใครฟังปฏิปทาท่านผู้เฒ่าบ่อย ๆ จะจำได้ ตรงจุดนี้จะเป็นสุดท้ายของอารมณ์ที่หลวงพ่อท่านบอก ไม่รักในฐานะที่ควรรัก ไม่เกลียดในฐานะที่ควรเกลียด ไม่ขัดเคืองในฐานะที่ควรขัดเคือง
นั่นขนาดคนข้างบ้านด่าก็ยืนฟังเขาด่าจนตลอด ประเภทให้กำลังใจเขาหน่อย เขาอุตส่าห์ด่าทั้งที พอฟังเสร็จ เขาด่าจบแล้วก็ไป เฉย ๆ ไม่ได้ติดหูมาสักคำเดียว ของพวกเราอย่างน้อย ๆ ก็ต้องเก็บมาคิด ของเขาตัวความคิดปรุงแต่งไม่มีแล้ว ปล่อยได้แล้ว ใครเอาอะไรมา ก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ
ถาม : แล้วไปยืนฟังเขาทำไมละคะ ?
ตอบ : ให้กำลังใจเขาหน่อย เขาอุตส่าห์มาด่าแล้ว ถ้าไม่ยืนฟังเดี๋ยวเขาไม่มีอารมณ์จะด่า สงสารเขา..!
ที่พูดมานี้พวกเราก็ทำได้ แต่ว่าทำแล้วยังไม่ทรงตัวอย่างเขา ได้เพียงครู่เดียว จะได้ตอนที่มีสติ พอขาดสติไปไหลตาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อไรก็อารมณที่ได้ก็ขาดไปด้วย ของเขาควบคุมได้ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสสักแต่ว่าได้รส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส ป้องกันไม่ให้ทุกอย่างเข้ามาในใจได้
แรก ๆ ก็ต้องระวังป้องกันอยู่ พอนานไปก็ไม่ต้องระวังแล้ว เพราะไม่เก็บเอาไว้เลย ฟังดูง่ายไหม ?
ถาม : แล้วอย่างนี้เวลาเขาทำงานปกติ ก็เป็นคนประหลาดสิคะ ?
ตอบ : ก็ประหลาด... ถึงได้บอกว่า คิดว่าเราทำหน้าที่รอเวลาตายเท่านั้น เพราะฉะนั้น..งานของเราก็ทำให้ดีที่สุด หลังจากนั้นแล้วจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของงาน เราก็ไปพระนิพพานของเรา
เมื่อวานลองไล่อารมณ์ให้เขาฟังหลายอย่าง ตรงกันหมด ถ้าตรงกันหมดก็ใช่ ใช่ตรงที่ว่าที่เราทำมา เออ..ก็คล้ายกับเขา นี่พัฒนาการทางจิตในระดับที่ควรจะทำให้ได้อย่างยิ่ง
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-02-2011 เมื่อ 02:58
|