จึงอยากจะเตือนสติพวกเราอีกครั้งหนึ่งว่า การปฏิบัติธรรมนั้นยิ่งทำ สภาพใจต้องยิ่งละเอียดขึ้น และต้องสามารถใช้ในชีวิตประจำวันของเราด้วย คือ ระมัดระวังอย่าเผลอสติ อย่าเห็นพระเป็นเพื่อน อย่าทำความสนิทสนมกับครูบาอาจารย์จนเกินไป เพราะมีแต่โทษมากกว่าจะมีประโยชน์ เนื่องจากบางอย่างพอก้าวล่วงไป ก็เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย เท่ากับปิดมรรคปิดผลของตนเองไปโดยปริยาย การปฏิบัติธรรมนั้นสภาพจิตที่ละเอียดขึ้น จะพัฒนา กาย วาจา ใจ ของเราให้อยู่ในกรอบมากขึ้น อยู่ตามแนวมากขึ้น เพื่อตรงไปสู่ความหลุดพ้น
การพัฒนากาย วาจา ของเรา ก็คือศีล เราต้องระมัดระวังศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีไม่เห็นผู้ใดผู้หนึ่งละเมิดศีล การพัฒนาจิตของเรา ก็คือ ต้องสร้างสติให้มั่นคง สร้างสมาธิให้เกิด ต้องมีสติสมบูรณ์พร้อม แค่ขยับตัวก็รู้ว่าศีลจะขาดหรือไม่ แค่ขยับตัวก็รู้ว่าสิ่งที่เราทำตอนนี้ถูกต้องตามธรรมตามวินัยหรือไม่ ถ้าหากว่าเราสามารถพัฒนา ศีล สมาธิ ของเราให้ดีขึ้น เท่ากับเป็นการพัฒนาปัญญาของเราไปในตัว
โดยเฉพาะอย่าลืมความรู้สึกที่ว่าเราต้องตายเอาไว้เสมอ ในเมื่อรู้ตัวว่าต้องตายเราก็จะไม่ประมาท เร่งพัฒนา กาย วาจา ใจ ของตนให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งท้ายที่สุดก็สามารถล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้
ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2015 เมื่อ 16:05
|