ดูแบบคำตอบเดียว
  #5  
เก่า 10-12-2011, 22:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,157 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในอากาศมีพลังงานอยู่ใช่ไหมคะ ? และเราสามารถจับต้องพลังงานนั้นมาใช้ได้ ทำให้เป็นรูปเป็นร่างก็ได้ หนูไม่ได้รู้อะไรมาก บางทีถ้ารู้สึกว่ามีพลังงานไม่ดีอยู่ ก็ไล่ให้ไปไกล ๆ เตะให้กระจาย ถ้ามีพลังงานดี ๆ อยู่ เราก็ดูดเข้าตัวเอง หรือไม่ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง คือ เอากำลังสมาธิตัวเองขยายออก แผ่ปกคลุมบริเวณรอบนั้น แต่ก็เหนื่อย เรื่องทั้งหมดนี้สามารถทำได้จริง และมีอยู่จริงใช่ไหมคะ ?
ตอบ : สามารถทำได้จริงและมีอยู่จริง แต่ถ้าทำผิดเมื่อไรจะกลายเป็นร่างทรง..! เพราะพลังงานบางอย่างเขารอโอกาสแทรกเราอยู่แล้ว ไปดึงเข้ามาเขาก็แฝงตามมาด้วย เรียกว่าทะลึ่งไปยุ่งกับเขาเอง รู้แล้วอยู่เฉย ๆ ก็ไม่ต้องเดือดร้อน

ถาม : อารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามา จัดว่าเป็นเวทนาหรือไม่คะ ? และเราสามารถสักแต่ว่ารู้ในอารมณ์เวทนานั้น ไม่เข้าไปเสวยในเวทนาทุกข์สุขนั้น ใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : ให้เข้าไปสู่อารมณ์กลาง ๆ ที่ไม่ยินดีและยินร้าย ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา ให้เป็นอุเบกขาเวทนาแทน ถ้าหากว่าจัดเป็นอารมณ์ก็จะเป็นอัพยากตารมณ์ แต่ว่าต้องแยกให้ออก เพราะว่าบางทีก็เป็นการใช้กำลังสมาธิกดเอาไว้ เราก็ไปคิดว่าใช่ ถ้าคล่องตัวไม่พอก็จะคิดว่าตรงนั้นใช่แล้ว ความจริงแค่กดเอาไว้ด้วยกำลังสมาธิ แต่ไปคิดว่าตัวเองเรียนจบแล้ว จริง ๆ แล้วยังไม่ได้ผ่านการทดสอบเลย

ถาม : เวลาคนอื่นเขาด่าเราว่าเรา แทนที่จะโกรธเขา กลับมีความรู้สึกสงสารเขา ก็มางงกับตัวเองว่าเราต้องโกรธเขาสิ ไม่ใช่สงสาร เป็นความสงสารจริง ๆ มาไล่ดูว่าสงสารอะไร ก็คือ เราสงสารเพราะเรารู้ว่าเขาโกรธ เขาทุกข์ เราสงสารเพราะเรารู้ว่ากรรมที่เกิดจากวจีกรรม มโนกรรม หรือกายกรรมคืออะไร อารมณ์ที่จะไปโกรธตอบจึงไม่มี เพราะเราเห็นจริง จึงเป็นอารมณ์สงสาร ขอถามว่ายังมีอารมณ์ที่ยิ่งกว่านี้อีกไหมคะ หนูจะได้ไปทำให้ยิ่งขึ้น ?
ตอบ : มีอีกเยอะมาก ก็คือเลิกสงสารแล้ววางกองเอาไว้ตรงนั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปแบก..!

ถาม : อย่างเวลาที่เห็นคน ถ้าทันทีที่เห็น เราก็ไม่ได้ปรุงแต่งอะไรและไม่ได้รู้สึกว่าเป็นอะไร จะว่ามีก็เหมือนไม่มี จะว่าเป็นนั่นเป็นนี่ก็ไม่ใช่ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ไปจับแยกว่า คน ๆ นี้ประกอบด้วยตา หู จมูก ฯลฯ คือไปจับแยกในลักษณะกายคตาสติ ยังรู้สึกว่าประกอบไปด้วยกิเลส ยังประกอบไปด้วยอารมณ์ปรุงแต่งที่หนักอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ที่เราไม่ได้จับแยก เราไม่ได้เรียกว่าอะไร ไม่ได้นิยามว่าเป็นอย่างไร อย่างนั้นก็เบา แต่ทันทีที่เราไปเรียก ไปสมมติ ต่อให้เป็นกายคตา ก็ยังไม่ใช่อารมณ์ที่ดีที่สุดสำหรับเรา ไม่ทราบว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้คะ ?
ตอบ : ก็เพราะว่าเสือกทะลึ่งถอยหลังไปเอง..! ก็ในเมื่อไม่รับรู้แล้วจะไปแยกอีกทำไม ถึงระดับที่ไม่ต้องไปแยกแล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือว่า เรียนอุดมศึกษาแล้วถอยไปอยู่อนุบาลใหม่ เท่ากับหาเรื่องเดือดร้อนเอง

แต่ให้รู้ว่าทั้งหมดที่ว่ามานี้ บุคคลที่ทรงฌานโลกีย์ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปทำได้ทุกคน เพราะฉะนั้น..อย่าเผลอเข้าใจผิด เพราะถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง โดนอำนาจของฌานกดนิ่งอยู่ แล้วเราก็จะไปคิดว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นพระอริยเจ้าแล้ว เป็นพระสกทาคามีแล้ว เป็นพระอนาคามีแล้ว ไป ๆ มา ๆ ปรากฏว่าประถม ๑ ยังไม่จบเลย..!

เพราะฉะนั้น..เป็นนักปฏิบัติจะไปไว้ใจทึกทักเอาไม่ได้ว่า อารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นถูกต้องแล้ว ดีแล้ว เราต้องซักซ้อมทบทวนอยู่เสมอ ๆ ต่อให้มั่นใจเต็มร้อยว่ากิเลสไม่มีโอกาสกำเริบแล้ว ท่านก็ไม่ประมาท ไม่ใช่ตอบว่าอย่างนั้นถูก อย่างนี้ใช่ แล้วเราก็ไปยืนยันทึกทักเอาว่าเราเป็นแล้ว เราใช่แล้ว แล้วไม่ทำอะไรต่อเลย สักพักก็ถูกกิเลสตีตาย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2011 เมื่อ 04:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา