ดังนั้น ถ้าท่านทั้งหลายไม่เสียเวลามาถามปัญหา หากแต่ว่าทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมไปเลย ป่านนี้ก็น่าจะเห็นหน้าเห็นหลังกันแล้ว การปฏิบัตินั้นต้องไม่ออกไปจากแนวของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ก็คือต้องรักษาศีลทุกสิกขาบทให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เป็นต้น
ในเรื่องของสมาธินั้น พยายามรู้ลมหายใจเข้าออกของตนเองให้ได้มากที่สุดในแต่ละวัน ซึ่งการรู้ลมนั้น ระยะแรก ๆ เราต้องบังคับตัวเอง บางทีก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ถ้าเราสามารถกำหนดใจภาวนาไป จนถึงระดับปฐมฌานละเอียดแล้ว ความละเอียดของจิตที่มีมากขึ้น จะทำให้เรารู้ลมหายใจเข้าออกโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปตามดูตามรู้ สภาพจิตส่วนหนึ่งจะกำหนดรู้ด้วยตนเอง ถ้าถึงระดับนั้น เราก็แค่เอาสติเข้าไปประคับประคอง ระมัดระวังอย่าให้สภาพจิตหลุดจากลมหายใจเข้าออกเท่านั้น
ส่วนในเรื่องของปัญญานั้น ท่านทั้งหลายต้องพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมามีร่างกายนี้ การเกิดมาในโลกนี้ เราจะเห็นว่าอยู่กับกองทุกข์ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนหลับตาลงไป ต่อให้ท่านทั้งหลายมีฐานะดีแค่ไหน ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการทำการทำงาน แต่การบริหารร่างกายคือดูแลร่างกายตัวเอง ในแต่ละวันต้องคอยชำระสะสางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อย่างน้อย ๆ ส่วนใหญ่ก็ต้องอาบน้ำเช้าเย็น
ถึงเวลาต้องหาอาหารให้กินอย่างน้อยก็วันละ ๓ มื้อ จะมี ๒ มื้อบ้าง มื้อเดียวบ้างส่วนใหญ่ก็คือบุคคลปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ในส่วนอื่น ๆ ก็คือความเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดขึ้น ทำให้ร่างกายโดนเบียดเบียนด้วยความทุกข์ ดังนั้น...เราจะเห็นว่าแม้จะมีฐานะดีแค่ไหน ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยในเรื่องการงานอย่างไร สภาพทุกข์อื่น ๆ ก็ปรากฏขึ้นกับร่างกายนี้ให้เห็นชัดอยู่แล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2016 เมื่อ 02:42
|