ถาม : ถ้าเราเอาภาพที่เคยติดตาเราในอดีตมาร่วมกับในเวลาที่เราฝึกสมาธิ และตามขั้นตอนไป แล้วก็ยกจิตค่อย ๆ นึกไปทีละขั้น อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นกสิณ ? เป็นอนุสติ ? หรือมโนมยิทธิครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเรา การที่เรายกภาพในอดีตขึ้นมาและคิดคำนึงตามไป อันดับแรกจะเป็นอนุสติก่อน ถ้าเราจดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับภาพนั้นจริง ๆ โดยไม่ย้ายจิตไปไหน จะเป็นการกำหนดของภาพกสิณ
แต่ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ใช่ภาพที่เนื่องด้วยกองกรรมฐาน จะกลายเป็นว่าคุณไปฟุ้งซ่านเรื่องในอดีต จะทำให้กำลังของเราที่สั่งสมเอาไว้ใช้ในการตัดกิเลสเสียไปเปล่า ฉะนั้น...ถ้าไม่ได้เป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติให้ตัดทิ้งไปเลย แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก
ถาม : เวลาผมมองพระแก้วใสหรือว่าพระสีทอง จะรู้สึกว่าจิตใจนั้นมีความสุขเบิกบาน คราวนี้ผมไปเอาภาพตรงนั้นมาเป็นอารมณ์ แล้วจิตคลาย ?
ตอบ : คลายลักษณะไหน ? คลายจากการยึดภาพนั้น ? หรือว่าคลายในลักษณะโปร่งเบา ปล่อยวาง สบาย ?
ถาม : พอเอาภาพนั้นมาเป็นอารมณ์แล้วคลายจากที่หนัก ๆ อยู่ครับ
ตอบ : ลักษณะนั้นแปลว่าสมาธิทรงตัวมากขึ้น การที่เรากำหนดภาพพระแก้วแล้วเรามีความสุข ก็คือลักษณะของการกำหนดอาโลกกสิณ ก็คือ กสิณแสงสว่างนั่นเอง
อย่างสมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านสร้างพระแก้วแล้วฐานปิดทอง ท่านบอกว่าจะได้กสิณสองอย่าง ก็คือได้กสิณแสงสว่างจากเนื้อแก้วที่ใส และก็ได้ปีตกสิณ ก็คือกสิณสีเหลืองจากฐานพระที่ปิดทอง ได้สองอย่างรวมกัน
คราวนี้เวลาเรากำหนดใจแล้ว ด้วยความที่ใจเรารักชอบ ก็เลยทำให้จิตใจเรายอมรับภาพนั้นได้ง่าย อารมณ์ปฏิบัติที่เคยผ่านอยู่ เพราะว่ายังเป็นขั้นตอนต้น ๆ ก็จะก้าวล่วงเข้าสู่สมาธิที่สูงขึ้น ก็จะรู้สึกว่าเบาลง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-04-2011 เมื่อ 19:20
|