พระอาจารย์กล่าวว่า "หลักการปฏิบัติต่าง ๆ แม้แต่กฎหมาย ส่วนหนึ่งมาจากมโนธรรม คือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราเอง ในเมื่อตั้งเป็นกฎเกณฑ์ขึ้นมา ก็แปลว่าในความเห็นของคนส่วนใหญ่เห็นว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม ก็เป็นกฎระเบียบ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นกฎหมายมหาชน (มีกฎหมายเอกชนด้วย)
อันนี้กฎหมายมหาชน ก็คือรัฐปฏิบัติต่อประชาชนในประเทศ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามในชีวิต จะเป็นพระเป็นฆราวาส ถ้าเรายึดถือความถูกต้องยึดถือกฎหมายเป็นหลัก ก็ไม่ต้องกลัวใคร
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า แม้พระองค์ท่านอยู่ในหมู่ท้าวมหาพรหมก็ดี ในหมู่เทวดาก็ดี ในหมู่พระเจ้าจักรพรรดิ ในหมู่พราหมณ์มหาศาล พระองค์ท่านไม่รู้สึกว่ามีอะไรต้องหวั่นเกรง นั่นคือความมั่นใจในความดีของพระองค์ท่านเอง คราวนี้หลักที่เรายึดอยู่คือศีลธรรม ถ้าเป็นของพระก็คือธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นคือกฎหมายบ้านเมือง แล้วก็จารีตประเพณี
จารีตประเพณีบางอย่างดูถูกไม่ได้ เพราะว่าเท่ากับเป็นกฎหมายท้องถิ่น ที่นั้นเขายึดถืออย่างนั้น เราเข้าไปทำผิดก็กลายเป็นผิดจารีต ผิดประเพณี ซึ่งก็เหมือนกับผิดกฎหมายท้องถิ่นนั้น ๆ
ฉะนั้น...ถ้าหากว่าเรายึดตรงหลักของศีลธรรม หลักของกฎหมายบ้านเมือง หลักของจารีตประเพณีเอาไว้ ก็ไม่ต้องไปกลัวใคร เพราะว่าเรายืนอยู่ในฝ่ายถูก ต่อให้เหลือตัวคนเดียวในบริเวณนั้น แล้วคนอื่นเห็นผิดเป็นชอบทั้งหมด เราก็ยังมีคำตอบแก่ตัวเราเองว่าเราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-03-2018 เมื่อ 02:20
|