คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
ให้เลิกบ่นเพราะเป็นอารมณ์ปฏิฆะ
ในเมื่อเจ้ากำหนดรู้ได้ว่า อารมณ์ใดเป็นอารมณ์ที่ตกเป็นทาสของนิวรณ์เข้ามารบกวน
ก็จงหมั่นระงับนิวรณ์นั้น ในทุกครั้งที่กำหนดรู้ว่ามีอารมณ์ในขณะจิตนั้นลงด้วยเถิด
ต้องทำการระงับให้บ่อย ๆ จักได้มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ของจิตที่ตกเป็นทาสของนิวรณ์เข้ารบกวน
ระงับได้มากเท่าไหร่ ผลของการปฏิบัติจักได้มากขึ้นเท่านั้น
อารมณ์ใดที่เกิดขึ้นกับจิต เจ้าต้องหมั่นกำหนดรู้
อย่าคิดปล่อยอารมณ์ไปโดยคิดว่าไม่เป็นไร นั่นคือการประมาทในธรรมโดยแท้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์หลงที่คิดว่าไม่เป็นไร เรายังจักไม่ถึงที่ตาย
แล้วเที่ยวส่งจิตออกไปว่าคนนั้นคนนี้ ตำหนิกรรมของผู้อื่นไปตามความไม่ชอบใจ
สรรเสริญคนโน้นที ไปยุ่งก้าวก่ายกับกฎของกรรมของผู้อื่น
มัวแต่มีอารมณ์ยินดียินร้ายในกรรมของบุคคลอื่น ทำให้เสียผลของการปฏิบัติ
เขาดีหรือเขาเลวก็ไม่ได้มาช่วยให้จิตของเจ้าดีขึ้น
ถ้าหากละเลยไม่สนใจผลของการปฏิบัติ มัวแต่มองผลของกรรมของบุคคลอื่น
สังขารุเบกขาญาณก็เกิดขึ้นได้ยาก
อย่าลืมอารมณ์ใครก็ไม่สำคัญ สำคัญที่อารมณ์จิตของเรา
พยายามดูอารมณ์ของตนเองเข้าไว้เป็นสำคัญ
อารมณ์คนอื่นดูแล้วละไปจากอารมณ์ของเราโดยเร็ว
ให้ลงตัวปกติในธรรมของบุคคลนั้น ๆ อย่าใช้อารมณ์ของเราเข้าไปปรุงแต่งธรรม
มันจักทำให้อารมณ์จิตของเราเสีย ทำให้เกิดอารมณ์ตำหนิกรรม ไม่มากก็น้อย
จงระมัดระวังให้มาก ดูอารมณ์จิตตัวนี้เอาไว้ให้ดี ๆ ที่เอาดีกันไม่ค่อยจักได้
ก็เพราะมัวแต่สนใจอารมณ์ของบุคคลอื่นนี่แหละ
ขาดอุเบกขารมณ์เป็นสำคัญ พรหมวิหาร ๔ ขาดตัวปลาย อีก ๓ ตัวกำลังก็ยังอ่อน
เจ้าจงหมั่นพยายามเจริญพรหมวิหาร ๔ ให้มาก ไม่ใช่ท่องจำ
ต้องหมั่นเอามาคิดพิจารณาทุกครั้งที่จิตเสวยอารมณ์ที่เบียดเบียนตนเอง
ต้องรู้ด้วย จำด้วย และทำด้วยในพรหมวิหาร ๔ อย่าจำแค่ตัวหนังสือ จักหาผลได้ยาก
พรหมธรรมทำไม่ได้ ก็เป็นพระอนาคามีไม่ได้ จักหวังอะไรกับพระอรหัตผล
จงหมั่นทำไปอย่าละความเพียรและห้ามบ่นท้อแท้ด้วย
กิเลสมันไหลออกมาทางวาจา ยิ่งบ่นยิ่งเพิ่มอารมณ์ จักมีประโยชน์อันใด
เลิกจริยานี้เสียที
จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน