ดูแบบคำตอบเดียว
  #163  
เก่า 05-12-2017, 21:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ไม้กฤษณาต้องโดนความร้อน น้ำมันหอมระเหยออกมาจึงมีกลิ่น ไม่อย่างนั้นถ้าทั่ว ๆ ไปเราไปเจอก็ไม่รู้ว่าเป็นไม้อะไร สมัยก่อนเวลาหาไม้หอมพวกกฤษณา จะมีการทำบวงสรวงพลีเจ้าป่าเจ้าเขาก่อน เมื่อหาเจอแล้วยังต้องเสี่ยงดวงอีก

เพราะว่าไม้กฤษณาบางต้นเป็นแผล มีเชื้อราเกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าสามารถมาโค่นได้ทั้งต้น จะได้แค่ตรงนั้นชิ้นเดียว สมัยนี้เทคโนโลยีดีขึ้น ปลูกไม้กฤษณาได้ ใช้ตะปูตอกพรุนไปทั้งต้นเลย ทำให้แผลเกิด พอแผลเกิดเชื้อราลง จึงได้ไม้หอมทั้งต้น

เมื่อประมาณน่าจะปีไม่เกิน ๒๕๓๒ อาตมาไปช่วยกันปลูกต้นไม้ให้วัดหลวงพ่ออุดม (วัดป่าผาตาดธารสวรรค์) ตอนนั้นหลวงพ่อประภายังเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ปลูกไปได้สัก ๒ ปี ย้อนกลับไปดู กลายเป็นดงวัชพืชหมดแล้ว ไมยราบบ้าง เถาวัลย์ไฟบ้าง เลื้อยทับถมจนมองต้นกฤษณาแทบไม่เห็น น่าเสียดาย...เพราะว่าพื้นที่เหมาะมาก

ด้วยความที่วัดใหญ่เกินไป คนดูแลไม่ทั่วถึง วัดป่าผาตาดธารสวรรค์ขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าได้ตั้ง ๓,๐๐๐ ไร่ แต่การใช้พื้นที่ป่าต้องปลูกต้นไม้คืนเขา ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ก็แปลว่าต้องปลูกป่าคืนเขา ๓๐๐ ไร่ ต้นกฤษณาที่ปลูกไล่ ๆ กันที่เกาะพระฤๅษีโตประมาณขาอ่อนแล้ว ส่วนที่โน่นจมหายไปในดงเถาวัลย์เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-12-2017 เมื่อ 08:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา