ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 25-05-2016, 12:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,063 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้นเราจะเห็นว่าในส่วนของสมาธิภาวนานั้น แม้ได้เพียงปฐมฌานขั้นหยาบ ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวจริง ๆ เราก็เกิดเป็นพรหมได้แล้ว คำว่าพรหมก็ต้องประพฤติพรหมจรรย์ คำว่า พรหมจรรย์ หรือ พรหมจริยา ก็คือ แบบอย่างของพรหม คือ การอยู่คนเดียว ปราศจากคู่ เพราะว่าถ้าอารมณ์สมาธิทรงตัว รัก โลภ โกรธ หลง โดนกดดับลงชั่วคราว ความต้องการมีคู่ก็ไม่เกิดขึ้น ดังนั้น...จึงใช้คำว่าพรหมจรรย์คือประพฤติอย่างพรหม อยู่องค์เดียว วิมานหนึ่งมีพรหมองค์เดียว ไม่มีบริวารเหมือนเทวดาต่าง ๆ

แล้วถ้าหากว่ากำลังสมาธิของเราทรงตัวตั้งมั่นได้มากกว่านั้น สามารถนำไปเสริมปัญญาในการตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหานเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน เพราะว่าส่วนของสมาธิภาวนาเป็นการเพาะสร้างกำลัง เมื่อจิตมีกำลังก็ช่วยปัญญาที่แหลมคมตัดฟันกิเลสให้เด็ดขาดลงไปได้ เพราะว่าสมาธิเป็นกำลัง ปัญญาเป็นอาวุธ กำลังไม่พอ ยกอาวุธไม่ขึ้น ก็ตัดฟันอะไรไม่ได้ มีแต่อาวุธ ไม่มีกำลัง ก็ไม่สามารถจะใช้งานได้เช่นกัน

ดังนั้น...สมาธิจึงทำให้เราเกิดประโยชน์สุขในปัจจุบันคือจิตใจสงบระงับจาก รัก โลภ โกรธ หลง เกิดประโยชน์สุขในอนาคต คือถ้าอารมณ์ใจทรงตัวปักมั่น สามารถไปเกิดเป็นพรหมชั้นต่าง ๆ ได้ และประโยชน์สูงสุด คือ สามารถตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหานเข้าสู่พระนิพพานได้ การทำสมาธิของเราถึงเรียกว่าไม่เป็นหมัน แม้ว่าเบื้องต้นเพียงเล็กน้อยก็ยังหนุนเสริมให้เกิดอานิสงส์ดังที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น

ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2016 เมื่อ 14:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา