การปฏิบัติในมโนสุจริตนั้น คือไม่คิดโลภอยากได้จนเกินพอดี ต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องหามาให้ถูกต้องตามศีลตามธรรม เว้นจากการโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทผู้อื่น แม้มีความโกรธเป็นปกติก็อย่าให้ความโกรธนั้นฝังใจ จนถึงขนาดอาฆาตพยาบาทต้องเอาคืนให้ได้
และมีความเห็นเป็นสัมมาทิฐิ คือเห็นว่าในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรามาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญานั้น เป็นความดีที่เราพึงจะต้องกระทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์
ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเว้นจากการประพฤติทุจริต และประกอบสุจริตครบถ้วน ก็แปลว่าท่านมีส่วนเป็นคนดีของพระพุทธเจ้าได้ แต่ก็ยังดีไม่ครบ เพราะว่ายังต้องมีการชำระจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลสด้วย
กิเลสใหญ่ที่กินใจเราตลอดเวลามี ๓ ตัว คือรัก โกรธ หลง บางท่านอาจจะคิดว่ากิเลสมี ๔ ตัว คือมีโลภด้วย แต่ความจริงแล้วรักกับโลภเป็นตัวเดียวกัน เพราะยินดีจึงอยากมีอยากได้ กิเลสทั้ง ๔ ตัวใหญ่นี้เราจะต้องชำระสะสางให้หมดไปจากจิตใจของเราให้ได้ ก็ต้องมาแยกให้ชัดว่าเราต้องจัดการกับราคะ คือความรักระหว่างเพศอย่างไร
อันดับแรกก็ตีกรอบด้วยศีลก่อน คือยินดีเฉพาะคู่ครองของตน ถ้ากำลังใจสูงขึ้นมาอีกก็ใช้ศีล ๘ เว้นจากการอยู่ร่วมกันฉันคู่ผัวตัวเมีย
ถ้าหากว่ากำลังสูงขึ้นไปกว่านั้น ก็ใช้สมาธิข่มกลั้นไว้ ก็คือการทรงฌานระดับใดระดับหนึ่งตั้งแต่ปฐมฌานละเอียดขึ้นไป ถ้าเป็นปฐมฌานหยาบ ยังไม่มีอำนาจรั้งในเรื่องของความรัก ความโกรธได้
และท้ายสุดใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง ว่าสิ่งทั้งหลายนี้เป็นเครื่องร้อยรัดเราให้ติดอยู่ในวัฏสงสาร พิจารณาให้เห็นว่าราคะนั้นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง แต่เป็นสิ่งที่แฝงไว้ด้วยความทุกข์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการมีคู่ครอง การมีครอบครัว การมีบุตร ล้วนแล้วแต่นำทุกข์มาให้เราทั้งสิ้น ถ้าหากว่าเรารู้แจ้งเห็นจริง เกิดการคลายกำหนัด จิตใจปล่อยวางลงได้ ตัวราคะก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2011 เมื่อ 10:24
|