"ปรากฏว่าวันถัดมาหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า “แกอย่าไปเผาทิ้งอย่างนั้น ถ้าเขามาโวยวายแล้วเราจะไม่มีหลักฐาน จะกลายเป็นเรารังแกชาวบ้านไป แกเก็บขึ้นมาแล้วรักษาเอาไว้ ข้าจะสร้างพิพิธภัณฑ์คนชั่วให้” ฉะนั้น..ถ้าโยมไปแล้วเห็นที่ใต้ศาลาท้าวมหาราชทั้งสี่ มีพิพิธภัณฑ์เครื่องมือจับสัตว์น้ำ ให้รู้ว่าเป็นฝีมือของอาตมาเอง และเหลืออยู่แค่นั้นเพราะเผาไปเยอะแล้ว
ปรากฏว่าชาวบ้านก็ด่ากระจาย อาตมาก็ไป บ้านไหนด่าขึ้นถึงบ้าน ยังไม่ทันทำอะไร เขาโดดหน้าต่างหนีเอง จนเขาลือกันไปทั้งคุ้งว่าอาตมาถือปืนขึ้นบ้าน เขาต้องไปพูดเพราะหนีพระทั้ง ๆ ที่เขาท้าทายเอง ก็เลยต้องบอกว่าพระถือปืนมา ไม่อย่างนั้นจะอายเขา ลุงเอี๊ยงที่เป็นคนขับรถของวัดและดูแลหลวงพ่อมาตั้งแต่แรกที่ท่านมาอยู่วัดท่าซุง ฟังคำลือจนทนไม่ไหว มีโอกาสก็จับแขนดึงหลบมุมไปถาม “ถามจริง ๆ เถอะหลวงพี่..หลวงพี่ถือปืนขึ้นบ้านเขาหรือ ?” บอกว่า “อาตมาจะไปเอาอะไรมา มีติดตัวอยู่แค่จุดสองห้อยนี่แหละ ที่ถือขึ้นไปก็มีพายอยู่อันเดียว” ลุงเอี๊ยงแกก็บอก “หลวงพี่บอกอย่างนี้ผมเชื่อ แต่ชาวบ้านไปลือกันเสียหมดเลย” บอกว่า “เรื่องของเขา อยากลือ ก็ลือไป”
บรรดาหลวงพี่ต่าง ๆ ก็เครียด โดยท่านที่ต้องบิณฑบาตสายหน้าวัด เพราะต้องพายเรือข้ามไปในเกาะ นั่นถิ่นของเขา เกรงว่าจะเกิดอันตราย อาตมาก็เลยบอกว่า “ถ้าพี่ไม่ไปเดี๋ยวผมไปเอง ถ้าใครรับกิจนิมนต์ในเกาะแล้วกลัว ผมไปแทนได้” จำไว้ว่าถ้าเราเป็นฝ่ายถือเหตุผลก็ไม่ต้องไปกลัวคนชั่ว อาตมาทำเอาพวกนั้นประเภทหงายหลังตึงมาหลายทีแล้ว คุยใหญ่คุยโตหนักหนา ถึงเวลาจะจัดการอย่างนั้นอย่างนี้ ก้าวขึ้นบันไดบ้านมาอาตมาก็ถาม “เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ?” เกือบจะหงายหลังตกบันได ไม่นึกว่าพระจะกล้าไป"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-09-2019 เมื่อ 18:39
|