ดูแบบคำตอบเดียว
  #536  
เก่า 20-07-2020, 23:46
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

นี่ละ..เรื่องธรรมที่บริสุทธิ์ ดูเรือนร่างของตัวเอง เป็นส่วนหยาบก็รู้ชัด ๆ เป็นโดยลำดับอย่างนี้ละ เวลาท่านมรณภาพไปแล้วจะไม่กลายเป็นพระธาตุได้ยังไง ก็กระจายอยู่ภายในตั้งแต่ท่านยังไม่ตายอยู่แล้ว ธาตุขันธ์ถูกซักฟอกเป็นธาตุขันธ์ที่ละเอียดลออ จนกลายเป็นธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ของพระอรหันต์ แต่สายตาของโลก ก็เป็นธาตุขันธ์ธรรมดาเหมือนเรา แต่สายตาของธรรมที่เป็นผู้รับผิดชอบ คือจิตที่บริสุทธิ์ของท่านครองร่างอยู่นี้ ท่านดูกระจ่างของท่านอยู่ตลอดเวลา เห็นชัดเจนหมด...”

สำหรับอัฐิพระอรหันต์แต่ละองค์ จะเป็นพระธาตุเร็วหรือช้าอย่างไรนั้น องค์หลวงตาอธิบายไว้ ดังนี้
“... คำว่าเป็นพระธาตุนี้ก็ต่างกันอีกนะ คือถ้าจิตผู้ใดได้บำเพ็ญธรรม บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็วแล้วตายไปเสีย ผู้นี้ก็เป็นพระธาตุได้..แต่เป็นช้า เพราะจิตที่บริสุทธิ์นี้ยังไม่ได้ซักฟอกธาตุขันธ์ โดยทางความพากเพียรตามอัธยาศัยของท่านไปนาน..แล้วมาตายเสีย ธาตุขันธ์นี้ยังไม่บริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วน บริสุทธิ์ตามส่วนของธาตุขันธ์ที่เป็นส่วนหยาบนะ ส่วนจิตบริสุทธิ์แล้ว


แต่องค์ไหนถ้าบำเพ็ญไปนาน ตั้งแต่สมาธิปัญญาค่อยเริ่มไปเรื่อย ซักฟอกไปเรื่อยถึงขั้นอรหันต์แล้ว ท่านนิพพานหรือตายไปเสีย..อัฐิของท่านจะกลายเป็นพระธาตุได้เร็ว คือความช้าความเร็วอยู่กับการบรรลุ แล้วทรงธาตุทรงขันธ์อยู่ ถ้าทรงธาตุทรงขันธ์อยู่ไปนาน จิตธรรมชาติของท่าน..ไม่ใช่ท่านตั้งใจซักฟอกนะ จิตที่บริสุทธิ์นี้ต่างหากที่ซักฟอกร่างกายนี้ ธาตุขันธ์นี้ซึ่งเป็นส่วนหยาบให้เป็นของละเอียด ๆ ๆ ไปตามส่วนหยาบของธาตุขันธ์ เวลาท่านมรณภาพไปแล้ว.. อัฐิของท่านจึงกลายเป็นพระธาตุ เพราะจิตซักฟอกไว้เรียบร้อยแล้ว มันเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ

ไม่ใช่พอตายไปจะเป็นพระธาตุทันที มันต่างกัน การครองขันธ์อยู่นานหรือไม่นานตั้งแต่วันสำเร็จแล้ว ถ้าครองขันธ์ไม่นาน.. กลายเป็นพระธาตุก็ช้า ถ้าครองขันธ์อยู่นานนี้ กลายเป็นพระธาตุได้เร็ว มันต่างกัน เพราะจิตที่บริสุทธิ์นี้อยู่กับขันธ์ มันเป็นการซักฟอกขันธ์อยู่ในหลักธรรมชาติ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ตาม หากเป็นหลักธรรมชาติที่คอยซักฟอกอย่างละเอียดลออของจิตที่บริสุทธิ์ครองขันธ์อยู่นั้นแล

ถ้ายิ่งท่านเข้าสมาธิภาวนาด้วยแล้วนี้ จิตเข้ามานี่ล้วนๆ แล้วเป็นการซักฟอกหนักเข้าไป ท่านไม่ได้เจตนาว่าจะซักฟอกธาตุขันธ์นะ ท่านมีเจตนาเกี่ยวกับอรรถกับธรรมที่ท่านจะพิจารณาของท่านต่างหาก แต่มันเกี่ยวโยงกับธาตุขันธ์ เลยเป็นการซักฟอก อันนี้หนักแน่นเข้าไปอีก มากเข้าไปอีก นั่นเป็นชั้น ๆ ขึ้นไปอย่างนั้น เวลาท่านมรณภาพแล้วกลายเป็นพระธาตุ ๆ อย่างพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ดูเหมือนจะได้ ๔๐ กว่าปีแล้วมั้ง ท่านผ่านไปเรียบร้อยแล้ว อัฐิของท่านจึงกลายเป็นพระธาตุ...

ผู้หนึ่งค่อยดำเนินไป ๆ จิตค่อยสม่ำเสมอหลุดพ้นปั๊บ จะนิพพานไปในไม่ช้า.. อัฐิก็กลายเป็นพระธาตุได้เร็ว บางองค์พอพิจารณาปุบปับ.. บรรลุธรรมปึ๋งแล้วก็นิพพานไปเสีย นี้อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุช้า .. ถ้าความบริสุทธิ์อย่างขิปปาภิญญา คือรู้อย่างรวดเร็วนี้ก็ไม่แน่นะ ว่าจะเป็นพระธาตุได้ง่ายดาย เพราะรู้ได้เร็วแล้วก็ (หาก) ตายเร็ว จิตนี้ไม่ครองขันธ์อยู่นาน ก็ยังไม่ได้ฟอกเต็มที่..นี่อาจจะช้า

แต่อัฐิของสามัญชนแม้จะเป็นธาตุดินเช่นเดียวกัน ส่วนจิตผู้เป็นเจ้าของเต็มไปด้วยกิเลส ไม่มีอำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นของบริสุทธิ์ไปตามส่วนของตนได้ อัฐิจะกลายเป็นธาตุที่บริสุทธิ์ได้อย่างไร ก็ต้องเป็นสามัญธาตุไปตามจิตของคนมีกิเลสอยู่ดี ๆ หรือจะเรียกไปตามภูมิของจิต ภูมิของธาตุว่า อริยจิต อริยธาตุ และสามัญจิต สามัญธาตุก็คงจะได้ เพราะคุณสมบัติของจิตของธาตุระหว่างพระอรหันต์กับสามัญชนต่างกัน อัฐิจำต้องต่างกันอยู่โดยดี...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2020 เมื่อ 16:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
ภาวนามัย (25-04-2024), สุธรรม (21-07-2020)