ดูแบบคำตอบเดียว
  #529  
เก่า 16-07-2020, 23:02
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,833 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ไม่เสริมมูลนิธิ มุ่งสงเคราะห์ช่วยเหลือ

องค์หลวงตาเห็นความลำบากของพระกรรมฐานอาพาธ เวลามารักษาตัวในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด สมัยก่อนการแพทย์ยังไม่เจริญเท่าที่ควร ท่านจึงยอมรับและสนับสนุน “มูลนิธิพระอาจารย์มั่น” ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่ส่งเสริมให้มี “มูลนิธิ” อะไร หากไม่มีเหตุผลความจำเป็นจริง ๆ องค์ท่านให้เหตุผลว่า
“... เมื่อเร็ว ๆ นี้ พระก็มาปรึกษาหารือแล้ว มาขอเงินด้วย ปรึกษาหารือแล้ว.. ถ้าหากว่าเราเห็นด้วยก็จะขอเงินเรา แต่ตอนนั้นยังไม่ขอ.. รอไว้ก่อน จะทำบุญเลี้ยงพระแก่ว่าอย่างนั้น พระแก่ไม่มีใครเหลียวแล ขาดคนเหลียวแล ช่วยตัวเองไม่ได้ อยากทำมูลนิธิไว้สำหรับพระแก่ มาปรึกษาครูบาอาจารย์จะเห็นว่ายังไง แล้วเงินก็ไม่มี ขึ้นแล้วเรื่องเงินก็ไม่มี พอพูดออกมานั้นปั๊บ.. ถึงมีก็ไม่ให้ ตอบทันทีเลย มันถึงจุดที่จะตอบแล้วตรงนั้น


‘ถึงมีก็ไม่ให้ ผมไม่ส่งเสริม พระพุทธเจ้ามีมูลนิธิที่ไหน พระอรหันต์ท่านเป็นสรณะของพวกเรา ท่านมีมูลนิธิที่ไหน ทำไมถึงเก่งกว่าครูนัก ไม่มีใครอุปถัมภ์ดูแล ตายด้วยลำพังตนเองอัตโนมัติ หรืออัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเองเป็นที่พึ่งของตน ตายด้วยตนเองนั้นมันเลิศ มันประเสริฐ ตายไม่ได้เหรอ ทำไมจึงต้องไปหาทำมูลนิธินิแธะ ต่อไปนี้มูลนิธิจะเต็มบ้านเต็มเมือง มือจะล้วงเข้าไปในบาตรไม่ได้นะ มูลนิธิจะตีข้อมือเอา มูลนิธิเป็นใหญ่กว่าแล้วเวลานี้’

ว่าอย่างนี้แหละ บอกเราไม่เห็นด้วยและไม่ให้ด้วย บอกตรง ๆ เลย ‘เอ้า มันจะตายจริง ๆ เพราะการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบนี้ไม่มีใครเหลียวแล ให้เห็นเสียทีเถอะน่า.. เดี๋ยวนี้ไม่เห็น เห็นแต่ความอ่อนแอของพระเต็มบ้านเต็มเมือง เห็นเต็มไปหมดอย่างนี้น่ะ ความช่วยตัวเองด้วยการประพฤติปฏิบัติ.. ตายลงไปแล้วเหมือนหนูตัวหนึ่งก็ตายให้มันเห็นวะ’

เราว่าอย่างนั้น นี่ก็ไม่ต้องการอยากจะตาย เกลื่อนกล่นวุ่นวายอย่างนี้นะ อยากตายแบบหนูตัวเดียว มันจะตายไม่ได้นะแบบนั้น พูดถึงขั้นจะพูดออกมาหาเจ้าของเสีย นี่อาจหาญมาก บอกตรง ๆ บอกว่ามากสุด มากสุดหัวใจ ไม่มีสะทกสะท้านเรื่องความเป็นความตาย มาเมื่อไร.. มาเราเรียนจบแล้ว บอกตรง ๆ อย่างนี้เลย ความเป็นก็เป็นอยู่ ธาตุขันธ์มันทรงตัวอยู่ ตายก็ธาตุก็ธาตุขันธ์มันสลายตัวลงไปหาธาตุเดิมของมันเท่านั้น ธรรมชาติที่เหนือกว่านั้นอยู่แล้ว ทรงไว้แล้วนี้ บกพร่องอันไหน ให้มันเป็นอย่างนั้นซี เป็นเมื่อไรตายเมื่อไร มีปัญหาอะไร เดี๋ยวนี้เอะอะมูลนิธิ ๆ พวกบ้ามูลนิธิ เราว่าอย่างนี้แหละ เราไม่เห็นด้วย

วัดนี้เขามาขอตั้งมูลนิธิน้อยเมื่อไร หากไม่คุยนะ เขามาขอตั้งมูลนิธิ จะตั้งขึ้นโน้น.. ทางมหามกุฏฯ วัดบวรฯ ตั้งมูลนิธิไว้ เอาดอกผลมาเลี้ยงพระในวัด อย่ามาตั้งนะ พระหากินไม่ได้ให้มันตายเสีย อย่ามาตั้งให้มันยุ่งนะ ไม่ตั้งจริง ๆ ใครมาผ่านเราตัดปั๊วะทีเดียวเลย นี่ดูว่าเขาขโมยตั้งก็มีนะ อยู่กรุงเทพฯ วัดบวรฯ มหามกุฏฯ เขาบอกผลรายได้มาเราถึงรู้ อ๋อ.. นี่เขาขโมยตั้งแล้วนี่ เขาเอาดอกผลออกมาบอกเรา เราบอกว่ามอบคืนต้นมูลนิธินั่น

เราไม่เคยรับสักสตางค์ละ ส่งมาเท่าไรเราก็ส่งกลับคืน ๆ ให้เขาไปมอบนั้น แล้วพวกจะตายด้วยมูลนิธิให้ได้กินกัน เราไม่หวังกินละกับมูลนิธินิแธะนี่ นี่เราจะหวังกินกับพวกนี้ นี่มูลนิธิใหญ่ของเรานี่นั่งเต็มศาลานี้ นี่มูลนิธิใหญ่ จะไปหวังอะไรกับมูลนิธินิแธะนั่น เราเอามูลนิธิเหล่านี้มาเป็นชีวิตของเราเป็นประจำอยู่แล้ว เข้าใจหรือเปล่าล่ะ..พวกมูลนิธิน่ะ (หัวเราะ) ...”

ครั้นเมื่อองค์หลวงตายอมรับและเห็นประโยชน์ในมูลนิธินั้นแล้ว องค์ท่านก็เป็นธุระเอาใจใส่ดูแลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตกลงกันไว้จริง ๆ ดังนี้
“... การปฏิบัติธรรมมันกำลังจะล้มเหลวไปแล้วนะ เดี๋ยวนี้น่ะ พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นเราก็ล่วงไป ครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือก็ค่อยร่วงโรยไป ๆ แล้วจืด ๆ ไป ในสิ่งที่ดีทั้งหลายจืดไป ๆ ในสิ่งที่เลวทั้งหลายแล้วเข้มข้นเข้ามา ๆ ปรากฏว่ามีรสชาติเข้ามาเรื่อย ดื่มด่ำเข้าไปเรื่อย ไม่รู้วันรู้คืนเข้าแล้วนะเวลานี้ มันจะเป็นกรรมฐานเป็นบ้านะ อันนี้ได้วิตกวิจารณ์มากทีเดียว มันจะเป็นกรรมฐานทันสมัย แล้วก็เอาชื่อครูบาอาจารย์ไปจำหน่ายขายกินนะ เฉพาะอย่างยิ่งก็ลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น สายท่านอาจารย์มั่นนี้สำคัญมากนะ นี่ละ..ที่ขายกินของพระโจร.. ผู้ร้ายในวงปฏิบัติเราเป็นอย่างนี้


เราอย่าเข้าใจว่า กรรมฐานนี้จะดีไปทุกรูปทุกนาม มันไม่ดีนะ ที่ดีมีน้อย ที่ชั่วเลวทรามมีมาก เพราะฉะนั้น จึงขอให้ทุก ๆ ท่านได้ทำความเข้าใจเอาไว้กับตนเองว่า เราจะเป็นคนประเภทไหน พระประเภทไหน ประเภทลูกศิษย์มีครูจริง ๆ หรือประเภทแบบแหวกแนวอวดตัวดี เก่งกว่าครูกว่าอาจารย์ แซงหน้าแซงหลังไปอย่างนั้น มีแล้วนะเวลานี้ .. เราวิตกวิจารณ์

เพราะฉะนั้น เราจึงได้เข้าไปมูลนิธิหลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาด แต่เราไม่เคยบอกเลยว่า มูลนิธินี้เป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาดโดยสมบูรณ์แล้วในทางกฎหมาย เราไม่เคยบอกไม่เคยพูดเลย ไปมาเราก็ฟังไปฟังมา.. ยิ่งฟังเสียงมันมักจะมีผลลบขึ้นมาเรื่อย ๆ และเป็นผลลบขึ้นมาเรื่อย ๆ มันยังไงกันนี่ เพราะเราเป็นเจ้าของนี่ เราก็เข้าไปเท่านั้นซิ พอเข้าไปก็ทราบเรื่องทราบราวแล้วก็ใส่กันเปรี้ยงเลย
‘สถานที่นี้ เป็นสถานที่สำหรับพระป่วย เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วเข้ามาพักผ่อนหย่อนตัวเป็นเวล่ำเวลา ก่อนที่จะเข้าไปติดต่อกับหมอและคลีนิกตลอดถึงโรงพยาบาล ให้ได้มาพักนี่สะดวกสบายต่างหากนะ และครูบาอาจารย์ที่มาด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรม เพื่อจะแนะนำสั่งสอนประชาชน เป็นกาลเป็นคราวต่างหากนะ ไม่ใช่มาให้พวกกรรมฐานขี้หมูขี้หมาเรานี้มาปักกลดในเทศบาล ๑ เทศบาล ๒ ในกรุงเทพฯ นี้นะ แล้วก็เอาให้ทราบเสียด้วยว่า มูลนิธินี้เป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาด ใครอย่ามาทำให้เลอะเทอะนะ นี่ยังจะหนักกว่านั้นถ้ายังเป็นอีก เรายังจะเอาหนักกว่านี้ จะได้เขียนประกาศติดไว้เลยชื่อ ชื่อมหาบัว ใส่ลงไปปึ๋งเลยแหละ..เป็นอะไรไป’


เอาขนาดนั้นนะวันนั้น เพราะเรารักษาความดีเอาไว้ ไม่งั้นมันจะเสียไปหมดนี่ จะเป็นกรรมฐานจำหน่ายขายกินไปหมดจะว่ายังไง ทั้ง ๆ ที่คนกรุงเทพฯ เขามีความเคารพนับถือวงกรรมฐานของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น.. เรานี้มากที่สุด เราจะไปขายขี้หน้าให้เขาเห็น เราไม่อยากเห็น อย่าว่าแต่เขาเลย ใครจะอยากเห็น นี่ละมันวิตกวิจารณ์ตรงนี้นะ มันเป็น.. จะไม่เป็นยังไง

สักกาโร ปุริสัง หันติ ว่าไง ลาภสักการะสำหรับคนโง่แล้วติดเร็วที่สุดเลยจะว่าไง นี่เราแปลทางภาคปฏิบัติ ถ้าแปลทางด้านปริยัติ สักกาโร ปุริสัง หันติ แปลว่า ลาภสักการะ ย่อมฆ่าบุรุษที่โง่เขลา...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2020 เมื่อ 02:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
ภาวนามัย (25-04-2024), สุธรรม (17-07-2020)