ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 21-07-2010, 14:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,703
ได้รับอนุโมทนา 4,397,155 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พอวันที่ ๑ ที่ ๒ ผ่านไป สองวันสองคืน วันที่ ๓ บ่าย ๆ ผมเป็นลม โทรศัพท์ไม่ว่างเลย สายนอกมีทั้งหมด ๘ สาย สายในอีก ๕๓ สาย วิทยุอีก ๒ เครื่อง ทำอย่างไรที่คุณจะต้องรับให้ทัน จะต้องไม่มีความสับสน จะต้องประสานงานให้คล่องตัวที่สุด กำลังใจทั้งหมดที่ทำมา ผมใช้ได้ก็ตอนนั้นเอง

ผมถึงได้บอกว่า จากการที่ทุ่มเทด้วยความไม่ประมาท ว่าหลวงพ่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เราคิดอยู่เสมอว่า ท่านอาจจะตายเสียภายในวันนี้ ถ้าหากว่าเราไม่เร่งตัวเองให้มีที่พึ่งได้ ถ้าสิ้นท่านแล้ว เราก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร

สิ่งที่ผมทำก็เห็นผล คือว่าผมสามารถเป็นที่พึ่งของคนเขาได้ พระผู้ใหญ่มาจากกรุงเทพฯ หรือว่ามาจากต่างจังหวัด กี่รายก็ตาม มาถึงก็มักจะถามว่า ผมเป็นเจ้าอาวาสคนใหม่หรือ ?

ผมกราบเรียนไปว่า ผมเป็นพระใหม่ครับ มีหน้าที่ต้อนรับพระผู้ใหญ่ รักษาการเจ้าอาวาสมี รองเจ้าอาวาสก็มี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสก็มี ผมเชื่อว่าพระผู้ใหญ่ทุกรูปท่านตีราคาพระวัดท่าซุงไว้สูงลิบโลกเลย เพราะว่าท่านวัดจากพระใหม่อย่างผม

ที่พูดมานี่ไม่ได้อวดตัวเอง แต่ต้องการให้ทุกท่านทำแบบเดียวกับที่ผมทำมาแล้ว โดยเฉพาะเรื่องกรรมฐาน ทิ้งไม่ได้เด็ดขาด ปล่อยให้ขาดช่วงลงเมื่อไร ถ้ากิเลสตีได้ คราวนี้เราจะฟุ้งซ่านไปนาน แล้วคุณก็จะเป็นเหมือนผม เสียดายใจแทบขาด ว่าเราไม่น่าพลาดให้กิเลสเลย

ดังนั้น..ในเรื่องการปฏิบัติ เมื่อเราทำได้แล้ว ต้องรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง แล้วก็พยายามดูว่า กำลังใจเราตอนนี้เป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างที่ชีปุ๊กกำลังเป็นอยู่

จะต้องซ้อมการเข้าสมาธิ เข้าออกให้มันคล่องตัว ต้องการอยู่ในอารมณ์ระดับไหนต้องได้ ถ้าหากว่าเราทำไม่ได้ ถึงเวลาโอกาสที่จะใช้งานก็น้อย เพราะไปนิ่งอยู่ข้างในร่างกาย ก็เหมือนกับคนตาย เหมือนกับตอไม้ ทำอะไรไม่ได้หรอก

ยกเว้นไว้ว่าเราตั้งใจจะไปกราบพระ ตั้งใจไปหาหลวงพ่อ ไปคุยกับท่าน ไปถามท่านว่ามีงานอะไรไหม ? แต่ถ้าหากว่าเราจะใช้งานด้านนอกได้ ต้องทำได้ในลักษณะที่ว่า ตัวเราไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะเข้าห้องน้ำห้องส้วม ทำงานทำการอะไรก็ตาม กำลังใจต้องนิ่งให้ได้เท่ากับตอนที่เรานั่ง

เปรียบเหมือนกับน้ำในบ่อน้ำลึก ๆ เวลาลมพัดก็จะกระเพื่อมแค่ปากบ่อ ก็คืออาการภายนอกเป็นไปตามโลก แต่ว่าจิตเรานิ่งอยู่ข้างใน กิเลสก็จะกินเราไม่ได้ นี่คือจุดที่ต้องการให้ทำ พยายามเข้าออกฌานให้ชำนาญ ไม่ต้องไปสนใจว่าจะตัดข้างใน หรือว่าตัดข้างนอก สนใจอยู่แค่ว่า ในขณะที่ทรงตัวตัดอยู่นั้น เราทำอย่างอื่นได้ไหม ?

ถ้าหากว่าเราทำได้ในขณะที่จิตตัดไปเลยนั้น จะเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ จะเป็นแค่กิริยาอาการ เป็นความเป็นไปของนามรูปเท่านั้น ไม่มีการปรุงแต่งเป็นดีเป็นชั่ว อารมณ์ตัวนี้แหละที่จะพาเราไปนิพพาน เขาเรียกว่า อัพยากตธรรม* เป็นอารมณ์กลาง ๆ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ผ่ากลางไปเลย

ที่ทุกคนทำอยู่นั้น ผมดีใจว่า พวกเรามีโอกาสมากกว่าพระที่บวชอีกนับแสน ๆ รูป เพราะว่าสมัยนี้บวชมาแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านไม่ค่อยได้ใส่ใจที่จะดูแล ท่านทิ้งเลย ปล่อยให้โตเอง ในเมื่อเรามีโอกาสแล้ว เราต้องใช้โอกาสของเราให้ดีที่สุด


หมายเหตุ :
* อภิ.สํ. ๓๔/๑/๑ ; ๖๖๓/๒๕๙ ; ๘๗๘/๓๔๐
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2010 เมื่อ 14:28
สมาชิก 99 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา