ถาม : ในพระพุทธกาลมีไหมครับที่เป็นวิปัสสนาลาภีบุคคล ?
ตอบ : มี...แต่ท่านไม่ได้ยกตัวอย่างที่ชัดเจน เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพิจารณาตามก็บรรลุเลย คราวนี้ของท่านเหล่านั้นบรรลุเร็วเกินไป ก็เลยไม่สามารถที่จะยกตัวอย่างมาอย่างเด่นชัด
ถาม : อย่างพระพาหิยะล่ะครับ ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนั้นก็ต้องประกอบด้วยสมาธิมาก่อน ไม่อย่างนั้นปัญญาจะไม่เกิดได้ขนาดนั้น เพียงแต่ว่าท่านฟังธรรมแล้วไม่ได้ใช้สมาธิแต่พิจารณาด้วยปัญญา ทันทีที่พิจารณาความเคยชินจิตจะเป็นสมาธิเอง กำลังในการจะตัดจะมีอยู่ ท่านเองท่านก็เลยตัดได้เร็ว
ถาม : อย่างวิธีของ "หลวงแม่" ใช้วิธีย้อนทวนวิปัสสนาญาณ ก็เกิดจากสมาธิเหมือนกัน ?
ตอบ : เหมือนกัน สังเกตไหมว่าพอทวนไป ๆ แล้วเบลอ ไม่ชัด ก็ต้องย้อนกลับมาหาลมหายใจเข้าออกใหม่ พอกำลังใจทรงตัวแล้วถึงจะไปต่อได้ สองอย่างต้องทำรวมกัน สมถะเป็นกำลัง วิปัสสนาเป็นอาวุธ คนไม่มีกำลัง ยกอาวุธไม่ไหวก็ตัดอะไรได้ยาก คนมีกำลังแต่ไม่มีอาวุธ แล้วจะไปตัดอีท่าไหน ฉะนั้น...ควรที่จะทำ ๒ อย่างด้วยกัน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2015 เมื่อ 02:50
|