"ตอนหลังหลวงพี่ชุบควรจะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดเลียบ แต่ปรากฏว่าไม่ได้เป็น ก็เลยไปอยู่ป่าดีกว่า แม้ตอนหลังหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม จะขอให้ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดราชคฤห์วรวิหาร ท่านบอกว่าคนอย่างท่านคิดทีเดียว ทำทีเดียว เรื่องอะไรที่หันหลังแล้วไม่ย้อนคืนมาอีก ท่านก็เลยไปอยู่คลองสะท้อนที่นครราชสีมา อยู่น่าจะถึง ๓๐ ปี พวกอาตมาก็แวะไปเยี่ยมไปยามท่านบ้างเหมือนกัน
แต่อาจจะเป็นเพราะว่าท่านอยู่ป่าจนเบื่อความวุ่นวายทางในเมืองแล้ว เมื่อพวกเรานิมนต์มางาน ท่านก็มักจะไม่ได้มา เมื่อไม่นานนี้ท่านก็เข้าโรงพยาบาล พวกอาตมาเห็นแล้วใจคอไม่ดี เพราะว่าท่านผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ท้ายสุดก็เป็นเหมือนกับผู้เป็นมะเร็งทั่วไป ก็คือ หมดสภาพแล้วก็มรณภาพไป
บุคคลที่ไปเยี่ยมมากที่สุดก็คือหลวงพ่อพระเทพมหาเจติยาจารย์ หรือหลวงพ่อเจ้าคุณชัยวัฒน์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม หลวงพ่อเจ้าคุณชัยวัฒน์ติดอยู่ที่ตำแหน่งพระศรีรัตนมุนี ๒๓ ปี หลวงพ่อเจ้าคุณท่านก็ไม่ดิ้นไม่รน ไม่ขอ ให้ก็รับ ไม่ให้ก็ไม่เอา จนกระทั่งเพื่อนร่วมรุ่นอีกท่านหนึ่งก็คือ สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศน์วิหารปัจจุบันนี้ ขึ้นเป็นพระพรหมมุนีแล้ว ก็นึกถึงเพื่อนว่าติดอยู่นานเหลือเกิน จึงช่วยขอเลื่อนเป็นพระราชรัตนมุนี ปัจจุบันท่านเป็นพระเทพมหาเจติยาจารย์
เราจะได้เห็นว่าจริง ๆ แล้วพระที่มาทางสายปฏิบัติ เรื่องของยศของตำแหน่งจะอยู่ในลักษณะที่ว่า "ให้ก็รับไว้ ไม่ให้ก็ไม่ไขว่คว้า" บรรดาท่านประเภทนี้ก็มักจะไม่ได้รับความนิยมจากผู้บังคับบัญชาเท่าไร เพราะว่าประจบใครไม่เป็น อย่าลืมว่าหลวงพ่อสมเด็จพระวันรัตท่านเป็นสมเด็จพระราชคณะแล้ว หลวงพี่ชุบของอาตมาที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ยังเป็นเจ้าคุณชั้นสามัญอยู่ตามปกติของท่านนั่นแหละ เพราะว่าท่านไม่เอายศเอาตำแหน่งอะไร"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2016 เมื่อ 04:00
|