ดูแบบคำตอบเดียว
  #12  
เก่า 02-04-2015, 07:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “ญาติโยมส่วนหนึ่งเคยปฏิบัติธรรมมา แล้วก็ปล่อยให้กิเลสร่าเริง ปัจจุบันนี้มักจะเครียด เพราะว่าทำเท่าไรก็ไม่ดีเท่าเดิม ขอบอกว่าการที่ทำเท่าไรก็ไม่ดีเท่าเดิมนั้น เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก ก็คือ ทำแล้วอยากดี ก็คืออยากให้ดีเหมือนเดิม ตัวอยากเป็นความฟุ้งซ่าน ถือเป็นนิวรณ์คือเครื่องกั้นความดี ในข้อที่เรียกว่า อุทธัจจกุกกุจจะ

สาเหตุที่ ๒ ก็คือ การที่เราทิ้งไปนาน ๆ ทำให้กิเลสมีกำลังกล้าแข็งกว่า ต้องดิ้นรนภาวนากันอย่างหนัก ต้องสู้กันจริง ๆ จัง ๆ ถึงจะตีคืนมาได้ ดังนั้น..ต้องใช้ความเพียรพยายามให้มากกว่านี้ ต้องคิดว่าเรามี ๑๐ นิ้วเหมือนคนอื่น ในเมื่อคนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้เช่นกัน

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องของใครทำใครได้ ไม่มีใครทำแทนคนอื่นได้
แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่ตถาคตเองก็เป็นได้แต่เพียงผู้บอกเท่านั้น ถ้าบอกไปแล้วไม่ปฏิบัติตาม สิ่งที่บอกไปก็เท่ากับไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่ตนเลย

เรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้นต้องเกิดจากศรัทธาก่อน ซึ่งในอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ได้กล่าวเอาไว้ถึงศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เพราะถ้าไม่เกิดศรัทธา คือความเชื่อมั่นความเลื่อมใสแล้ว ก็จะไม่พากเพียรปฏิบัติ เมื่อไม่พากเพียรปฏิบัติ สติและสมาธิก็เกิดขึ้นได้ยาก ในเมื่อขาดสติและสมาธิ ปัญญาย่อมไม่สามารถที่จะเกิดได้”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-04-2015 เมื่อ 10:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา