ดูแบบคำตอบเดียว
  #79  
เก่า 25-07-2012, 09:37
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

นิมิต “เหาะรอบพระนครทองคำ”

เพื่อมุ่งหน้าออกปฏิบัติกรรมฐานตามคำสัตย์ที่ตั้งไว้ ท่านจึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาวัดบรมนิวาส เพื่อหาโอกาสเข้ากราบลาพระเถระผู้ใหญ่เจ้าคุณพระราชกวี (พิมพ์ ธมฺมธโร) อาจารย์ของท่าน แม้พระเถระผู้ใหญ่จะมีเมตตา หวังอนุเคราะห์ให้ท่านศึกษาปริยัติต่ออีก เพราะเห็นว่าในสมัยนั้นพระภิกษุที่มีความรู้ระดับมหาเปรียญมีน้อยมาก แต่ท่านเคยพิจารณาในเรื่องนี้แล้วว่า

ความรู้ระดับมหา ๓ ประโยคนี้ ก็เพียงพอแล้วกับการจะออกปฏิบัติกรรมฐาน วิชาความรู้ขนาดเป็นมหาแล้วย่อมไม่จนตรอกจนมุมง่าย ๆ


และอีกประการหนึ่ง ท่านยังคงระลึกถึงความสัตย์ที่เคยตั้งต่อตนแองไว้ว่า
“ฝ่ายบาลีขอให้จบเพียงเปรียญ ๓ ประโยคเท่านั้น ส่วนนักธรรมแม้จะไม่จบชั้นก็ไม่ถือเป็นปัญหา ... แล้วจะออกปฏิบัติโดยถ่ายเดียว จะไม่ยอมศึกษาและสอบประโยคต่อไปเป็นอันขาด”


ระหว่างที่รอหาโอกาสเข้ากราบลาพระเถระผู้ใหญ่ในวันต่อไป ค่ำคืนดึกสงัดที่วัดบรมนิวาส ในคืนนั้นท่านได้ตั้งใจไหว้พระสวดมนต์ และตั้งสัจอธิษฐานต่อหน้าพระรัตนตรัยอย่างแม่นมั่นว่า

“๑) ถ้าหากว่า ข้าพเจ้าออกไปปฏิบัติธุดงคกรรมฐานแล้ว จะได้สำเร็จตามความมุ่งหมายโดยสมบูรณ์ ขอให้จิตนี้แสดงนิมิตอย่างน่าอัศจรรย์ซึ่งไม่เคยรู้เคยเห็น ให้สมกับภูมิธรรมที่ข้าพเจ้ามุ่งหมายเถิด


...๒) ถ้าหากข้าพเจ้าออกไปปฏิบัตธุดงคกรรมฐานแล้ว ไม่สำเร็จตามความมุ่งหมายก็ขอให้จิตนี้แสดงนิมิต เป็นข้อเทียบเคียง ว่าออกไปแล้วก็เถลไถลไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรให้ทราบเถิด

...๓) ถ้าหากข้าพเจ้าจะไม่ได้ประสบผลทั้ง ๒ อย่าง คือไม่ได้ออกปฏิบัติธุดงคกรรมฐานด้วย หรือออกไปปฏิบัติธุดงคกรรมฐานแล้วไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรด้วย ขอให้จิตนี้แสดงนิมิตให้ทราบด้วยเถิด

ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ขอให้นิมิตแสดงใน ๓ วาระนี้ จะพึงแสดงให้รู้โดยทางนิมิตภาวนาหรือจะพึงแสดงให้รู้โดยทางสุบินนิมิตก็ได้”

ภายหลังไหว้พระสวดมนต์และตั้งสัจอธิษฐานต่อหน้าพระรัตนตรัยแล้ว ท่านจึงเข้าที่เจริญสมาธิภาวนาและเข้าพักอิริยาบถจำวัด เวลาประมาณ ๖ ทุ่มได้เกิดสุบินนิมิตอย่างอัศจรรย์ว่า

“...เราเหาะปลิวขึ้นไปในอากาศอย่างสะดวกสบาย เหาะเหินวนเวียนรอบพระนครหลวง อันเป็นพระนครอัศจรรย์ดั่งเมืองสวรรค์ชั้นฟ้า มองไกลโพ้นสุดสายตา กว้างขวางสุดประมาณราวกะว่า เมืองไทยเราทั้งเมืองเป็นเมืองหลวงโดยสิ้นเชิง ตึกรามบ้านช่องเป็นประดุจหอปราสาทราชมณเฑียร


มิใช่เป็นบ้านเป็นเรือนของผู้คนธรรมดา มีความสง่าผ่าเผย ประดับด้วยแสงสีทองอร่ามแวววาวพร่างพราวระยิบระยับ เป็นประหนึ่งว่าลูกนัยน์ตาของชนผู้ที่มองเห็น จะถึงซึ่งอาการถลนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะแสงสว่างแพรวพราวเจิดจรัสของสีแสงแห่งเมืองนั้น

ยิ่งเพ่งมองเข้าไปเท่าใด ยิ่งเหมือนกับว่าเป็นเมืองแห่งทองคำทั้งแท่ง ตึกรามบ้านช่องเป็นประดุจทองคำธรรมชาติ ส่องทอลำแสงกระจายกราดกล้า เราได้เหาะวนถึง ๓ รอบแล้วก็ลง”

นิมิตนั้นยังติดตาตรึงใจท่านเสมอมา ไม่มีวันลืมเลือน และทำให้แน่ใจแล้ว ว่าในคราวนี้อย่างไรต้องได้ออกปฏิบัติกรรมฐานอย่างแน่นอน และแน่ใจว่าจะต้องประสบผลสำเร็จ

พอตื่นเช้ามาเข้าไปกราบลาเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) เผอิญในระยะนั้น เจ้าคุณพระราชกวี (พิมพ์ ธมฺมธโร) พระเถระอาจารย์ของท่านรับนิมนต์ไปต่างจังหวัด ท่านจึงถือโอกาสนั้นเข้ากราบนมัสการลาสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสในขณะนั้น

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ยินดีอนุญาตให้ไปได้ ท่านเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า
“บุญกรรมก็ช่วยด้วยนะ ผู้ใหญ่ท่านไม่อยากให้ออก ท่านห้ามไว้เลยเทียว ... ยังไม่ให้ออก ... ให้เรียนจบได้เปรียญ ๖ ประโยคเสียก่อนจึงค่อยออก แต่เรา ‘ยังไง’ ก็ไม่อยู่ แต่จะหาออกด้วยมารยาทอันดีงามเท่านั้นเอง สบโอกาสเมื่อไรแล้วเราจะออก พอดีท่านไปต่างจังหวัดละซิ นั่นละโอกาสมันก็เหมาะ พอท่านไปต่างจังหวัด ‘พับ’ เราก็ ‘ปั๊บ’ ออกเลย”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2012 เมื่อ 10:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา