ดูแบบคำตอบเดียว
  #62  
เก่า 30-06-2012, 08:22
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default




ตั้งสัจอธิษฐาน ขอพบครูบาอาจารย์


ท่านได้เล่าถึงอุปนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่ครั้งเป็นฆราวาสไว้ว่า
“เราเคยพูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง พูดเพื่อเป็นคติเพราะเรามันมีนิสัยอันนี้ พูดถึงนิสัย ถ้าว่า “ดื้อ” มันดื้อจริง ๆ แต่มันดีอยู่อย่างหนึ่งที่ว่า ความดื้อที่ว่านี้ เราไม่เคยทำใครให้เดือดร้อน หมายถึงว่า จิตนี้มันจริงจัง ถ้าสมมุติไปในทางที่ชั่วขาดสะบั้นจริง ๆ เลย แต่ส่วนมากนั้น ไม่ไปนะ.. ทางที่ชั่ว ไม่เอนไปเลย เช่นฉก เช่นลัก ไม่เคยเลย แม้แต่เพื่อนฝูงคนใดที่นิสัยไม่ดี เราไม่คบนะ ถึงคบก็ไม่นาน นั่นมันเป็นอย่างนั้นนะ มันเป็นอยู่ในใจนี้ มันชอบคบกับพระกับอะไรไปตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส


อ้อ! อีกอย่างหนึ่งคือ เราเป็นคนชอบหัวเราะ หัวเราะเก่งนะ ถ้าในพระธรรมวินัยห้ามพระหัวเราะ เราก็คงจะบวชไม่ได้ นี่ไม่มีห้ามไว้นี่!”

และด้วยอุปนิสัยทำอะไรทำจริง ชนิดขาดสะบั้นไปเลยเช่นนี้ เมื่อมาทางสายบาตรตามที่คุณตาได้ทำนายไว้ ธรรมะที่เป็นของจริงอยู่แล้ว จึงเข้ากับอุปนิสัยจริงของท่านได้อย่างสนิทใจ กลายเป็นความมุ่งมั่นที่จะศึกษาเล่าเรียน และออกปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น และด้วยความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าวนี้ ถึงกับทำให้ท่านเคยพูดเชิงทีเล่นทีจริงกับโยมแม่ของท่านเองว่า
“แม่ เสื้อผ้าที่ลูกเก็บไว้นั้น เอาให้หมู่เพื่อน เอาให้พี่ให้น้องนะ ถ้าเกิดตอนหลังคิดจะสึกมา จะหาถากเปลือกไม้เอามาใส่แทนหรอก”


อย่างไรก็ดี แม้ในตอนนั้นท่านจะเริ่มรู้สึกจืดจางในทางโลก และยินดีในเพศนักบวชมากขึ้น อีกทั้งยังมีอุปนิสัยจริงติดตัวมา แต่หากไม่มีบุญช่วยหนุนนำและเกิดมีอุปสรรคขัดขวางในช่วงเวลานั้นขึ้นมา ท่านว่าความตั้งใจนี้ก็อาจต้องสะดุดลงได้เช่นกัน ดังนี้
“มันแปลกอันหนึ่งนะ ถ้าคิดจะเอาเมียทีไร มันปรากฏมีสิ่งขึ้นมากีดขวาง ๆ จนได้ หรือแม้กระทั่งเราบวชแล้วก็ตามเถอะ ผู้หญิงที่เรารักกับพี่ชายเขาตามหาเรา แต่ไม่พบกัน เพราะเราออกเดินทางไปก่อนแล้ว นี่ถ้าได้พบกัน มีหวังเราจะบวชมาจนทุกวันนี้ไม่ได้แน่ ๆ มันคงจะมัดคอติดกันไปเลย”


ส่วนความรู้สึกเกี่ยวกับสตรีเพศทั่วไปนั้น ท่านก็ได้เคยเล่าไว้เช่นกันว่า
“ออกบวชทีแรก อะไรงามหมด ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง ขึ้นชื่อว่าสาว ๆ ชอบทั้งนั้นแต่ไม่หนัก เหมือนความที่จะไปนิพพาน สะเทือนปึ๋งเข้าไปก็ซัดกันเรื่อยนะ อันนั้นลบอันนี้ขึ้น ซัดกันเรื่อยนะ”


เมื่อไม่ปรากฏสิ่งใดขึ้นมากีดขวาง กลับเพิ่มพูนความเชื่อความเลื่อมใสในธรรม คิดอยากบำเพ็ญตนให้เป็นพระอรหันต์มากกว่า แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคแก่ท่านในระยะเริ่มต้นก็คือ เกิดความลังเลสงสัยว่าปฏิปทาแนวทางการปฏิบัติ ที่เราดำเนินตามท่านเหล่านั้นจะบรรลุถึงจุดที่ท่านบรรลุหรือไม่ หรือว่าทางเหล่านี้จะกลายเป็นขวากเป็นหนามเป็นโมฆะ และกลายเป็นความลำบากแก่ตนผู้ปฏิบัติไปเปล่า ๆ อีกประการหนึ่งก็สงสัยว่า
เวลานี้ มรรคผลนิพพาน จะมีอยู่เหมือนครั้งพุทธกาลหรือไม่ ?”


ท่านได้เก็บความสงสัยนี้ฝังอยู่ภายในใจ เพราะไม่สามารถจะระบายให้ผู้ใดฟังได้ และเข้าใจว่าคงไม่มีใครสามารถแก้ไขความสงสัยนี้ให้สิ้นซากไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม ท่านมีความรู้สึกเชื่อมั่นอย่างเต็มใจ ตามวิสัยของปุถุชนถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และการตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ของพระสาวกท่าน จากนั้นจึงได้นึกตั้งสัจอธิษฐานว่า
ขอให้เราได้พบครูบาอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่งมาชี้แจงในเหตุในผล เรื่องของมรรคผลนิพพานว่า ยังมีอยู่ด้วยเหตุนั้น ๆ ให้เราได้ถึงใจเท่านั้นแหละ เราจะมอบกายถวายตัวต่อครูบาอาจารย์องค์นั้นด้วย และเราจะมอบหัวใจเราลงสู่อรหัตผลนั่นด้วย ตายก็ตาย ยังไม่ได้ก็ตามให้ตายอยู่ในสนามรบ”


ด้วยความลังเลสงสัยดังกล่าวเป็นเหตุ ให้ท่านมีความสนใจและมุ่งหวังที่จะพบหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต อยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่ก็ยังไม่เคยพบท่านมาก่อนก็ตาม แต่เพราะได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนเด็กสมัยที่หลวงปู่มั่น มาจำพรรษาอยู่ทางอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ และ พ.ศ. ๒๔๖๗ จึงทำให้รู้สึกเชื่อมั่นอยู่ลึก ๆ ภายในใจว่า หลวงปู่มั่นจะสามารถไขปัญหานี้ให้กระจ่างได้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 02-07-2012 เมื่อ 15:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา