ออกทางด้านปัญญามันไม่ได้สนใจกับสมาธิ ออกเท่าไรมันยิ่งรู้ยิ่งเห็นกระจายออกไปเรื่อย ๆ มันยิ่งเพลินนะซิ ฆ่ากิเลสก็ฆ่าไปด้วยกัน เห็นโทษเห็นคุณมันไป เห็นคุณของธรรมเห็นไปด้วยกัน ฆ่ากิเลสปั๊บแล้วมันเห็นคุณขึ้นมา ธรรมเด่นขึ้นมา ๆ ที่ตรงไหนมันไม่เห็นคุณ คือกิเลสปิดไว้ ๆ ตามเข้าไป แก้เข้าไปตรงไหน กิเลสพังลงไปมากน้อยเพียงไร ธรรมก็แสดงขึ้นมา ๆ เรื่อย ๆ ทีนี้มันก็เพลินล่ะซิ เพลินจนขนาดที่ว่า
‘โธ่.. สมาธินี่มันนอนตายเฉย ๆ ลงขนาดนั้นนะ ไม่ได้แก้กิเลสตัวใดได้เลย แก้ด้วยปัญญาต่างหาก สมาธินี่มันนอนตายเฉย ๆ มากี่ปีกี่เดือนแล้ว ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร’
เมื่อลงถึงขั้นสมาธิ.. นอนตายมันก็ไม่สนใจกับสมาธิใช่ไหมล่ะ! มันก็ฟัดทางด้านปัญญาไปเลย.. คราวนี้ก็เร่งทางปัญญาใหญ่ หมุนติ้วทั้งกลางวันกลางคืนไม่มีห้ามล้อบ้างเลย แต่เรามันนิสัยโลดโผนน่ะ ถ้าไปแง่ไหนมันไปแง่เดียว พอดำเนินทางปัญญาแล้ว มันก็มาตำหนิสมาธิว่า ‘มานอนตายอยู่เปล่า ๆ’
ความจริงสมาธิก็เป็นเครื่องพักจิต ถ้าพอดีจริง ๆ ก็เป็นอย่างนั้น นี่มันกลับมาตำหนิสมาธิว่า มานอนตายอยู่เปล่า ๆ กี่ปี ไม่เห็นเกิดปัญญา...”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2014 เมื่อ 12:00
|