ในส่วนที่ว่ามานี้ ถ้าเราเปรียบกับพระนิพพานก็คือเราต้องเกาะเสียก่อน จนกระทั่งกำลังใจเต็มก็จะปล่อยเองโดยอัตโนมัติ ในเมื่อเราปล่อยแล้วเราจะเข้าถึงพระนิพพานอย่างไร ? เราปล่อยเมื่อไร สภาพจิตของเราไม่ยึดเกาะสิ่งหนึ่งสิ่งใด สภาพของการล่วงพ้นจากกิเลสจะปรากฏชัดขึ้นในจิตในใจของเรา เต็มอยู่ในจิตในใจของเรา เราจะรู้ตัวทันทีว่าถ้าเราตายตอนนี้คือไปพระนิพพานตอนนี้ พระนิพพานไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย อยู่ภายในจิตในใจของเรานี่เอง เพียงแต่เป็นจิตใจที่ปล่อยวางจาก รัก โลภ โกรธ หลง ไม่มีการปรุงแต่งให้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นได้อีก
ดังนั้น...พวกเราทุกคนก็ควรจะยึดหลักที่ว่า เอาศีล สมาธิ ปัญญาเป็นบันได เพื่อให้เราก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน
ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๙
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2016 เมื่อ 14:39
|