การพิจารณาวิปัสสนาญาณนั้น เราจะดูตามแนวอริยสัจ ๔ ก็ได้ ซึ่งถ้าว่ากันตามแบบของหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือดูทุกข์ให้เห็น เมื่อเห็นทุกข์แล้ว ไม่มีความปรารถนาที่จะเกิดมาทุกข์อย่างนั้นอีกก็จะจบ เพราะว่าใจไม่ต้องการที่จะเกิดต่อไป เนื่องจากรู้ชัดเจนว่าความเกิดทั้งหลายนั้นเป็นทุกข์ ไม่ไปดิ้นรนไขว่คว้าที่จะเกิดมาทุกข์อีก
หรือว่าจะดูเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง คือ ทุกข์เกิดจากอะไร? เรียกว่าสมุทัย คือสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ เมื่อรู้เหตุชัดแล้วเราไม่สร้างสาเหตุนั้น ทุกข์ก็ไม่สามารถที่จะเกิดได้ ก็เข้าถึงนิโรธคือความดับ
ถ้าไม่ได้ดูตามหลักของอริยสัจ ๔ ก็ให้ดูตามหลักของไตรลักษณ์ คือให้เห็นว่าสภาพร่างกายของเราก็ดี ของบุคคลอื่นก็ดี ของสัตว์ทั้งหลายก็ดี ของวัตถุธาตุสิ่งของก็ดี มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และสลายไปในที่สุด
ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็ประกอบไปด้วยความทุกข์อยู่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเหล่านี้ และท้ายสุดก็ไม่มีอะไรทรงตัวให้ยึดถือเป็นตัวตนเราเขาได้ ทุกอย่างต้องเสื่อมสลายตายพัง คืนเป็นสมบัติของโลกไปตามเดิม
เมื่อเราพิจารณาจนกระทั่งเห็นชัดเจน จิตถอนออกมาจากความอยากได้ใคร่ดีในร่างกายนี้ จิตถอนออกมาจากการปรารถนาจะเกิดในโลกนี้หรือเทวโลก พรหมโลก จิตไม่ยึดเกาะทั้งความดีความชั่ว ก็จะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้
หรือว่าจะพิจารณาตามนัยวิปัสสนาญาณ ๙ อย่าง เริ่มจากอุทยัพพยานุปัสสนาญาณ คือพิจารณาเห็นทั้งความเกิดและความดับ อย่างเช่นว่า เห็นเด็กคลอดเคลื่อนออกมาจากท้องแม่ ค่อย ๆ เติบโตขึ้นจากเด็กเล็ก เป็นเด็กโต เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่ เป็นคนตาย ถ้าหากว่าเราพิจารณาอย่างนี้ ก็จะเห็นว่าสภาพร่างกายนี้มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปนั่นเอง
หรือจะพิจารณาถึงความดับโดยส่วนเดียว เรียกว่า ภังคานุปัสสนาญาณก็ได้ คือเห็นว่าทุกอย่างดับหมด ตายหมด พังหมด สลายตัวหมด ไม่มีอะไรหลงเหลือให้ยึดถือมั่นหมายได้ แม้กระทั่งร่างกายเราหรือคนอื่น เมื่อเห็นชัดเจนจิตก็จะปลดออกจากการยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้ ในโลกนี้ ก็สามารถที่จะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2011 เมื่อ 15:00
|