ถ้าถามว่าการทำจริงจังต้องทำถึงระดับไหน ? ก็ต้องบอกว่า ๒๔ ชั่วโมงห้ามเว้นแม้แต่วินาทีเดียว แต่ถ้าท่านทั้งหลายจำเป็นด้วยการประกอบกิจการงานอาชีพต่าง ๆ อย่างน้อยเวลาทำงานก็ให้กำลังใจจดจ่ออยู่กับงาน จะได้ไม่ฟุ้งซ่านไปหา รัก โลภ โกรธ หลง และในขณะเดียวกัน เมื่อมีเวลาว่างเมื่อไรก็รีบกลับเข้ามาสู่การปฏิบัติกรรมฐานของเราทันที
ถ้าทำในลักษณะอย่างนี้ โอกาสของการที่เข้าถึงมรรคถึงผลของเราก็จะมีอยู่ ไม่ใช่ว่าทำ ๆ ทิ้ง ๆ อย่างในปัจจุบัน เหมือนที่บางคนเดินหกล้มแล้วหกล้มอีก เจ็บตัวเท่าไรก็ไม่รู้จักเข็ดไม่รู้จักจำ ถ้าเป็นไปในลักษณะอย่างนั้น ถ้าถึงอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือว่าเกิดอุบัติเหตุตายลงไปก็ตาม ก็เท่ากับว่าเราเสียชาติเกิด เพราะต้องมาเกิดใหม่ ต้องมาทุกข์ทนทุกข์ยาก ต้องมาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเช่นนี้อีก ในเมื่อโอกาสอยู่ในมือของเราแล้ว เราเป็นผู้ที่มีโอกาสเข้าถึงมรรคถึงผลแล้ว ถ้าเราละทิ้งโอกาสนั้นเสีย ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงควรที่จะเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติของเราให้มากขึ้น โดยเฉพาะการพยายามรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล หลังจากนั้นการปฏิบัติทุกครั้งของเราที่ลืมไม่ได้เลย ก็คือ ลมหายใจเข้าออก เพราะเป็นเครื่องระงับดับความฟุ้งซ่านได้ดีที่สุด
ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเราไปเรื่อย วางกำลังใจว่าเรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนจะทรงฌาน ทรงสมาบัติได้หรือไม่ได้ก็ช่าง ถ้าเราทำแบบนี้กำลังใจจะทรงตัวได้เร็วมาก เพราะสภาพจิตไม่ฟุ้งซ่าน ไปคิดอยากได้โน่นอยากได้นี่ อยากเป็นโน่นอยากเป็นนี่
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2016 เมื่อ 19:52
|