การพิจารณานั้น ส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องของไตรลักษณ์ คือสภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี ของวัตถุธาตุสิ่งของก็ดี เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ดูในลักษณะของ อนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้
เมื่อดูจนกระทั่งสภาพจิตยอมรับแล้วว่า ความจริงของร่างกายนี้ ของร่างกายคนอื่น ของร่างกายสัตว์อื่น ของวัตถุสิ่งของทั้งหมด มีสภาพไม่เที่ยงเป็นปกติ ก็ขยับไปพิจารณาดูว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ระหว่างที่ดำรงคงอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ถ้าเป็นมนุษย์และสัตว์ก็มีความทุกข์ของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การปรารถนาไม่สมหวัง การกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น ถ้าเป็นวัตถุธาตุสิ่งของก็มีสภาวะทุกข์คือ ก้าวเข้าไปหาความเสื่อมสลายอยู่ตลอดเวลา
เมื่อดูจนสภาพจิตยอมรับอย่างแน่วแน่แล้ว เราก็พิจารณาต่อไปว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ประกอบขึ้นมาจากธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าถอดออกเป็นชิ้น เป็นส่วน เป็นธาตุไปแล้ว ก็ไม่เหลืออะไรเป็นของเรา สักน้อยหนึ่งก็ไม่มี
เมื่อสภาพจิตของเราพิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ สมาธิจิตจะทรงตัวกลับไปหาการภาวนาอีกครั้งหนึ่ง เราก็เริ่มดูลมหายใจเข้าออก เริ่มกำหนดการภาวนาต่อไป หรือถ้าท่านทำจนชินแล้ว แค่นึกเท่านั้นสมาธิจิตก็จะทรงในระดับที่ต้องการ เมื่อทรงตัวไประยะหนึ่งก็จะคลายออกมาอีกตามปกติ เราก็มาย้อนพิจารณาใหม่ ทำสลับกันไปสลับกันมาเช่นนี้ จึงจะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติได้
ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้า)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-11-2013 เมื่อ 18:28
|