ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 15-10-2012, 21:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,511
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,957 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การเห็นความตายเป็นปกติ เป็นเรื่องของบุคคลที่มีปัญญา เป็นบุคคลที่เห็นความไม่มีสาระแก่นสารในร่างกายของเรา ความไม่มีสาระแก่นสารในร่างกายของบุคคลอื่น ไม่ว่าจะกายเขากายเราก็ตาม เป็นเพียงส่วนประกอบของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ให้เรามาอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เหมือนกับคนขับรถ เมื่อถึงเวลาก็ขับรถไป ทำหน้าที่การงานของตน ถ้ารถพัง ก็ทิ้งรถไปหารถคันใหม่

ดังนั้น..ความตายไม่ใช่ของน่ากลัว เป็นการเปลี่ยนผ่านเท่านั้น ก็คือเปลี่ยนผ่านจากสภาพร่างกายนี้ ไปสู่สภาพร่างกายอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นขันธ์ทิพย์ของเทวดา ของนางฟ้า ของพรหม ก็ถือว่าไม่ขาดทุน ถ้าเป็นขันธ์ของวิสุทธิเทพ คือบุคคลผู้หลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว ก็ถือว่าได้กำไรอย่างใหญ่หลวง แต่ถ้าเป็นขันธ์ของมนุษย์ ก็ต้องถือว่าเกิดมาเสียชาติไปชาติหนึ่ง เพราะว่าไม่สามารถที่จะไปดีกว่าเดิมได้ ถ้าหลุดไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอสุรกาย เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก ก็ขาดทุนย่อยยับลงไปตามลำดับ

เมื่อเราเห็นแล้วว่า การปฏิบัติของเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องไม่ทิ้งลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา ยกเว้นบุคคลที่ภาวนาจนสภาพจิตละเอียดดิ่งลึกเป็นสมาธิขั้นสูง การภาวนาจะหายไปโดยอัตโนมัติ เราก็แค่รับรู้อยู่ เมื่อจิตถอนออกมา เราก็ตั้งหน้าภาวนาใหม่ และต้องไม่ลืมความตาย เพราะจะได้เป็นผู้ไม่ประมาท ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นของเราต่อไป

ลำดับนี้ก็ให้ทุกคนตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกาและเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-10-2012 เมื่อ 02:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา