ชื่อกระทู้: การรบกับกิเลส
ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 19-04-2009, 10:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,523
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,284 ครั้ง ใน 34,113 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือ ให้เรามาทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์ ไม่ล่วงละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นทำ และไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ ก็เหลือข้อสุดท้าย ได้แก่ ทำความรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ความตายมีแก่เราตลอดเวลา หายใจเข้า...ไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออก...ไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว ให้กำหนดใจไว้เลยว่า ถ้าหากว่าเราตายลงไป ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่เราไม่ต้องการอีก ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์นี้เราก็ไม่ต้องการ โลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเราก็ไม่ต้องการ เทวดา พรหม ที่มีความสุขชั่วคราวเราก็ไม่ต้องการ เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวอัตโนมัติอย่างนี้ เราก็ยึดหัวหาดได้แน่นอน ยืนได้เต็มสองฝ่าเท้าแล้ว ก็จะมีแก่ใจบุกไปข้างหน้า คราวนี้ถอยหลังไม่ได้แล้ว คำว่าถอยไม่มี ตัวถอยโดนตัดทิ้งไปแล้ว ก็มีแต่เจริญก้าวหน้าไปตามลำดับ

ดังนั้น..แม้ว่าเราจะเป็นธรรมเสนา เป็นทหารในกองทัพธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ถ้ายังยึดหัวหาดไม่ได้ ก็เรียกตัวเองว่าทหารของพระพุทธเจ้าไม่ได้เต็มปากเต็มคำ เหมือนกับพวกเราที่รักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ได้ แล้วบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปาน ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ก็ไม่มีใครเขาเชื่อน้ำหน้า ดังนั้น..พวกเราทุกคนต้องฝึกกาย วาจา ใจ ให้สมกับเป็นทหาร การเป็นทหารนั้นเท่อย่าบอกใครเลย กองทัพของพระพุทธเจ้าท่านรับทุกคน ไม่ต้องเสียเวลาทดสอบสมรรถภาพร่างกายด้วย ขอให้ใจรักจริง ๆ ก็ก้าวเข้ามาได้เลย

พวกเราเป็นทหารที่รบราฆ่าฟันกับทางโลกมาเยอะแล้ว ลองมารบกับกิเลสดูบ้างว่ายากเท่ากันหรือไม่ ? ถ้าสามารถทำตนให้สมบูรณ์พร้อมอย่างที่กล่าวมาได้นี่.. เป็นแค่ก้าวแรก ก้าวแรก...ถ้าหากว่าหยาบ ๆ เราก็ต้องเกิดมาทุกข์อีกตั้ง ๗ ครั้ง แต่ละครั้งระยะเวลายาวนานแค่ไหนก็ไม่รู้ ถ้าไปเกิดต้นกัปเจอเข้าสักแปดหมื่นปีหรือแสนปี...โอ้พระเจ้า..!

เพราะฉะนั้น..ถ้ามาถึงตรงนี้แล้วทำอย่างไร ? เราก็ต้องก้าวต่อไปให้เหลือแค่สามครั้ง เหลือหนึ่งครั้ง จนกระทั่งไม่เหลือสักครั้ง หรือว่าพ้น ๆ ไปเลยได้ก็วิเศษ นี่เป็นภาระของพวกเราที่ต้องศึกษาและปฏิบัติ ท่านถึงได้เรียกว่า เสขบุคคล บุคคลที่ยังต้องศึกษาอยู่ แต่เสขบุคคลในความหมายของพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านหมายเอาพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2012 เมื่อ 03:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา