"ความจริงบาลีมาจากคำว่า “ปาละ” ที่คนไทยว่าบาล แปลว่ารักษา คือรักษาพระธรรมวินัยเอาไว้ ถ้าเรียนแล้วสามารถแปลได้ถูก แปลได้ตรง จะได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร เพราะระยะหลังมีการแปลผิดกันในหลายส่วน แต่ว่าเขาก็ปล่อยกันเลยตามเลย เพราะว่าผิดแล้วดีกับตัวเอง
ในเมื่อเป็นลักษณะนั้น ถ้าเรียนบาลีได้ก็จะดี แต่ส่วนใหญ่แล้วทนความยากลำบากของบาลีไม่ไหว อาตมายืนยันได้เพราะว่าจบปริญญาเอกมา ถ้าใครจบประโยค ๙ นี่จบปริญญาเอกได้ ๓ ใบเลย บาลียากกว่ามาก แต่จบบาลีประโยค ๙ เขาเทียบวุฒิให้เท่าปริญญาตรีเท่านั้น
บาลีประโยคที่ ๑ ถึง ๘ พอเรียนจบมาจะได้ประกาศนียบัตร แต่บาลีประโยค ๙ จบมาจะได้ปริญญาบัตร เพราะว่า ก.พ.ยอมรับว่าเป็นปริญญาตรี เสียเวลาเรียนนานมาก เพราะสอบไม่ตกเลยแบบสุดยอดอัจฉริยะก็ ๘ ปีจบ เนื่องจากประโยค ๑ กับ ๒ เรียนควบกัน
ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระเทพปริยัติมุนี หรือท่านเจ้าคุณมีชัย วัดหงส์รัตนาราม สมัยที่ยังเป็นพระมหามีชัย วีรปญฺโญ เปรียญธรรม ๙ ประโยค เป็นอาจารย์สอนบาลีอาตมาด้วย สอนกฎหมายคณะสงฆ์ด้วย ท่านบอกว่าผมสอบ ๘ ปีได้ ๙ ประโยคก็จริง แต่ไม่ใช่อัจฉริยะนะครับ ผมท่องหนังสือวันละ ๑๐ ชั่วโมง สูบบุหรี่วันหนึ่ง ๒ ซอง ๓ ซอง เพราะว่าเครียดมาก ทั้งผอมทั้งดำจนเพื่อนคิดว่ามะเร็งรับประทานแล้ว มาเลิกบุหรี่ตอนที่จบประโยค ๙ แล้ว ไม่เครียดแล้ว
แต่ก็ต้องบอกว่าท่านเก่งนะ ระดับสูบบุหรี่ ๒-๓ ซองต่อวัน ท่านเลิกได้นี่สุดยอดกำลังใจจริง ๆ พอท่านสอนอาตมาผ่านปริญญาโทไปเรียนปริญญาเอก ปรากฏว่าท่านก็ย่องตามไปเรียนปริญญาเอกบ้าง ...(หัวเราะ)... อาจารย์ไล่ตามลูกศิษย์ แต่ตอนนี้ท่านจบแล้ว เจอหน้าก็นั่งหัวเราะกันว่า เออ...ดร.หน้าตาเป็นอย่างนี้เองนะ"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-04-2017 เมื่อ 19:45
|