ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 30-09-2009, 09:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,669 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันจันทร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๒

ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง หายใจเข้าออกยาว ๆ สักสองสามครั้ง ระบายลมหยาบออกให้หมด ทำให้เป็นสิ่งที่เคยชินกับตัวเรา เพราะถ้าลมหยาบยังอยู่ เวลาจิตเริ่มทรงสมาธิมันจะอึดอัดมาก บางทีแน่นจนเหมือนรู้สึกจะขาดใจตายไปเลย แล้วหลังจากนั้นก็กำหนดความรู้สึกเราทั้งหมด ให้ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา ลมหายใจเข้าออกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะว่าจะสร้างสมาธิของเราให้เข้มแข็ง มีกำลังในการต่อสู้กิเลส เสริมสร้างปัญญาให้ชัดเจนผ่องใส เพื่อจะได้ใช้ในการลด ละ เลิกกิเลสต่าง ๆ ในใจของเราได้

เมื่อลมหายใจของเราทรงตัวดีแล้ว ก็ให้กำหนดใจแผ่เมตตาออกไป เรื่องการแผ่เมตตาถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ เพราะเมตตาบารมีนั้นคลุมศีลทุกข้อไม่ให้บกพร่อง ขณะเดียวกันบรรดาท่านทั้งหลายที่อยู่ในภพภูมิต่าง ๆ โดยเฉพาะในส่วนที่ต่ำกว่าเรานั้น ท่านต้องการกระแสแห่งความร่มเย็น ซึ่งแผ่ออกจากจิตใจของเราไปสู่ท่านเหล่านั้น เพื่อจะได้ผ่อนคลายความทุกข์ของเขา แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี โดยเฉพาะตัวเมตตานี้เป็นอาหารหล่อเลี้ยง ทำให้จิตใจของเราชุ่มชื่น เบิกบาน อิ่มเอิบ อยากจะปฏิบัติ ไม่รู้เบื่อ ไม่รู้หน่าย

วันนี้อยากจะให้พวกเราทุกคนทบทวนตัวเองดูว่า ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเราประกอบไปด้วยความประมาทหรือไม่ เราได้ทุ่มเทกับการปฏิบัติอย่างจริงจังหรือสักแต่ว่าทำ หรือบางทีก็ทิ้งไปเฉย ๆ บางสิ่งบางอย่างยากหน่อยก็ร้องโอ๊ย ไม่ไหวแล้ว ไม่เอาแล้ว นั่นไม่ใช่เรา มันต้องระดับเทพจึงจะทำได้ ถ้าไปคิดอย่างนั้นชาตินี้เราจะเอาดีไม่ได้ มันต้องคิดว่ากำลังใจของเราทรงสมาธิได้แค่ปฐมฌาน เราไม่ใช่เทพเฉย ๆ แต่เป็นพรหมเลย เหนือกว่าเทพทั่ว ๆ ไปในฉกามาพจรอีก

การปฏิบัติของพวกเรานั้น กำลังใจของเรายินดี บากบั่น พากเพียรโดยสม่ำเสมอหรือไม่ หรือว่าเป็นไปแบบไฟไหม้ฟาง พอมีสิ่งมากระตุ้นเร้าก็ปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง พ้นจากนั้นก็ดับหายไป ถ้าอย่างนี้โอกาสที่จะลงอบายภูมิก็มีสูงมาก การปฏิบัติของพวกเรานั้นต้องการกำลังใจที่เข้มแข็งจริงจังสม่ำเสมอ บากบั่นพากเพียรไม่ท้อถอย

พระพุทธเจ้า องค์สมเด็จพ่อของพวกเรา ทรงสร้างบารมีมา เริ่มตั้งแต่คิดจะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ ๗ อสงไขย พูดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป พระองค์ท่านกล่าวไว้ว่าตลอดระยะเวลาการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารซึ่งยาวไกลมองต้นมองปลายไม่เห็นนั้น ขึ้นชื่อว่าท้อนั้นแม้แต่นิดเดียวไม่เคยปรากฏขึ้นในพระทัยเลย แล้วเราเองซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้า เราเอากำลังใจสักส่วนเสี้ยวของพระองค์ท่านมาใช้หรือไม่ ไม่ใช่เจออุปสรรคหน่อยก็ท้อถอย จิตใจฟุ้งซ่านสมาธิตกหน่อยก็ไม่อยากจะทำอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่น่าจะใช่ลูกพระ แต่มันน่าจะเป็นลูกกิเลส
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-12-2009 เมื่อ 09:11
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา