คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
อย่ากลัวกิเลสมารและขันธมาร
อย่ากลัวการประจันหน้ากับขันธมารและกิเลสมาร
เพราะนั่นคือครูที่จักทดสอบอารมณ์จิตของพวกเจ้าว่า จักผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้หรือไม่
ขันธมารและกิเลสมารเป็นของจริงที่นักปฏิบัติกรรมฐานจักต้องลุยผ่านทุกคน
ถ้าชนะได้ก็ถึงพระนิพพาน
แต่ถ้าแพ้ก็ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไป
อย่าหนีความจริง ขันธมารกับกิเลสมารเป็นของคู่มากับร่างกาย
ซึ่งมันได้ผูกจิตจองจำ กักขังเรามานานนับอสงไขยไม่ถ้วน อดทนต่อสู้เข้าไว้
ถ้าชาตินี้ยอมพ่ายแพ้แก่มัน ชาติต่อ ๆ ไปก็ไม่มีทางชนะมันได้
ทำกำลังใจให้เต็ม เมื่อรู้แล้วว่าร่างกายนี้มีแต่ทุกข์หาสุขไม่ได้
เป็นเหยื่อของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม
เราโง่หลงผูกติดกับร่างกายนี้มานาน หลงอารมณ์ที่เพลินไปกับกิเลสมารชาติแล้วชาติเล่า
อย่างไม่รู้เท่าทันความทุกข์อันเกิดจากขันธมารและกิเลสมารนั้น
มาบัดนี้พวกเจ้ารู้ทุกข์อันเกิดจากขันธมารและกิเลสมารมาพอสมควรแล้ว
จงรักษาอารมณ์ตัดตาย สละร่างกายนี้ทิ้งไป เพื่อเป็นฐานกำลังของจิต
ควบคู่กับอานาปานสติให้ทรงอยู่เสมอ ๆ
จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่จักทำให้การเจริญสมณธรรมของพวกเจ้า
มีผลเจริญขึ้นตามลำดับ จงจำเอาไว้ให้ดี
ถ้าคราวใดขึ้นต้นตั้งอารมณ์นี้ไม่ถูก ก็ให้พิจารณาร่างกาย ไม่ว่าภายในหรือภายนอก
วัตถุธาตุใด ทรัพย์สินต่าง ๆ พังสลายไปหมด กล่าวคือพิจารณาไตรลักษณ์
เห็นทุกสิ่งทุกอย่างพังหมด ไม่มีอะไรเหลือ (อารมณ์อากิญจัญญายตนะฌาน)
จนในที่สุด หาสิ่งยึดถือมาเป็นสาระแก่นสารไม่ได้
โลกและขันธโลกมีความเสื่อมสลายไปในที่สุด ค่อย ๆ คิดพิจารณาจนจิตยอมรับ
แล้วจึงจับลมหายใจเข้าออก จนจิตเข้าถึงฌาน ให้จิตทรงตัวอยู่ระยะหนึ่ง
จึงหวนกลับมาจับวิปัสสนาญานตามความต้องการต่อไป
อย่าลืม ทำกรรมฐานทุกครั้ง ให้แผ่เมตตาไปทั่วจักรวาลก่อน
เป็นการทำอารมณ์จิตให้เยือกเย็นอยู่ในพรหมวิหาร ๔ จนเกิดวิสัยเคยชิน
ฝึกได้เมื่อไหร่แผ่เมตตาไปเมื่อนั้น มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
ให้แก่จิตและกายของตนเอง และพร้อมกันนั้น มีให้แก่จิตและกายของบุคคลอื่นด้วย
อารมณ์พรหมวิหาร ๔ นี้ จะลดไฟโมหะ โทสะ ราคะให้เจือจางไปจากจิตได้
และในบางขณะที่ระลึกได้ ก็ควรจักนำพรหมวิหาร ๔ ขึ้นมาพิจารณา
เพื่อให้เป็นคุณแก่อารมณ์ของจิตอย่างเอนกอนันต์ด้วย
จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน