ปีติทั้ง ๕ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามจะต้องเกิดกับเรา มีคนจำนวนน้อยจนนับได้ที่ไม่พบกับปีติเลย จิตก้าวข้ามไปเป็นฌานก็มี
ตัวปีติทั้ง ๕ นี้ หากว่าเกิดขึ้น เราอย่าได้อายคนอื่นเขา ปล่อยให้มันเกิดให้เต็มที่ไปทีเดียว ถ้าหากว่าเกิดขึ้นจนเต็มที่แล้ว ก้าวข้ามไปได้ จิตก็จะเริ่มเป็นฌาน
ถ้าเราไปอายแล้วระงับยับยั้งไว้ ถึงเวลาอารมณ์ใจมาถึงจุดนี้เมื่อไรก็จะออกอาการอีก ก็แปลว่าไม่สามารถจะก้าวข้ามได้เสียที จึงมีวิธีเดียวที่จะรับมือกับปีติทั้งหลาย ก็คือ ปล่อยให้ขึ้นให้เต็มที่ไปทีเดียวเลย เมื่อพ้นแล้วก็จะพ้นกันไป
ข้อต่อไปก็คือ สุข เมื่อก้าวพ้นตัวปีติ จิตเริ่มสงบ ไฟใหญ่ที่เป็น รัก โลภ โกรธ หลง ทั้ง ๔ กองซึ่งเผาเราอยู่ จะโดนกำลังสมาธิกดให้ดับลงชั่วคราว จะเกิดความสุขเยือกเย็นอย่างที่บอกไม่ถูก เป็นความสุขที่ไม่เคยพบมาก่อนในโลกมนุษย์นี้
ท่านใดที่ทำถึงตรงนี้แล้ว มักจะติดอกติดใจปฏิบัติอย่างไม่เบื่อไม่หน่าย ขอให้ทุกคนระมัดระวังรักษาเวลาให้ดี ถ้าปฏิบัติแบบหามรุ่งหามค่ำ ไม่กินไม่นอน ร่างกายทนไม่ไหว เดี๋ยวจะแย่
ตัวสุดท้ายคือ เอกัคคตารมณ์ อารมณ์ใจที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติไปแล้ว เกิดวิตก คือนึกคิดตรึกอยู่ว่าจะภาวนา วิจารณ์ ลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น ภาวนาอย่างไรรู้อยู่ ปีติ เกิดอาการอย่างใดอย่างหนึ่งในห้าอย่างขึ้นมา สุข มีความสุขเยือกเย็นใจอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเกิดขึ้น และเอกัคคตารมณ์ อารมณ์ตั้งมั่นกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาต่อไป
ถ้าหากว่าเป็นอย่างนี้ แปลว่าท่านทรงในปฐมฌานแล้ว ถ้าท่านสามารถรักษาอารมณ์เหล่านี้ต่อไป จิตก็จะก้าวเข้าสู่สมาธิที่สูงขึ้น คือ ฌานที่ ๒
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
|