อาตมาเคยสมมุติว่า ปกติคนเราโดนไฟใหญ่ ๔ กอง คือ รัก โลภ โกรธ หลง เผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟทั้ง ๔ กองดับลง เรามีความสุขสบายแบบไหนสามารถบอกเป็นคำพูดได้หรือไม่ ? ก็ไม่มีใครสามารถที่จะอธิบายเป็นคำพูดแม้แต่คนเดียว เพราะว่าคำอธิบายทั้งหมดก็ยังอยู่ในสภาพสมมุติเท่านั้น แล้วถ้าอย่างนั้นพระนิพพานนั้นจะเข้าถึงได้อย่างไร ? เราก็ต้องเกาะสมมุติไปก่อน เพราะว่าถ้าเราไม่เกาะ เราก็ไม่มีอะไรให้ปล่อยวาง
การเกาะสมมุตินั้น ก็คือ ยึดในเรื่องของศีล ของสมาธิ ของปัญญา ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาในลักษณะอย่างไร ? ก็คือ รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ทำความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้นจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ตั้งใจจับภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภาพใดภาพหนึ่งให้เป็นปกติ ว่านั่นก็คือภาพแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งอยู่บนพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่านคือเราอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน
ในการกำหนดสมมุติลักษณะอย่างนี้ ถ้าเราทำไปเรื่อย ๆ ความเข้มข้นของกำลังใจมีมากเข้า ๆ ก็ก้าวล่วง รัก โลภ โกรธ หลง ไปได้ เหมือนอย่างกับเราอาศัยเกาะราวบันไดแล้วเดินขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดบันไดนั้นก็จะหมดไปสักวันหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเราก้าวพ้นแล้ว จากบันไดเข้าไปสู่ห้องชั้นบน เราก็ไม่ได้แบกบันไดตามไปด้วย บางท่านก็ไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่าตนเองปล่อยราวบันไดตอนไหน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-06-2019 เมื่อ 17:39
|