ดูแบบคำตอบเดียว
  #18  
เก่า 25-08-2016, 09:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,831 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขอย้ำเตือนเรื่องเก่า ๆ ที่พูดทุกครั้ง ก็คืออย่ารอให้มีการจัดปฏิบัติธรรมแล้วเราค่อยมานั่งภาวนา มาเดินจงกรม ทุกอิริยาบถของเราต้องใช้ในการภาวนาได้ อย่างที่หลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงท่านกล่าวว่า ทรงฌานใช้งานเพราะว่าบุคคลที่ทรงฌานจริง ๆ สภาพจิตกับประสาทจะแยกออกจากกัน จะไม่รับรู้อาการทางร่างกาย

แต่บุคคลที่ฝึกฝนจนกระทั่งมีความคล่องตัว จะเข้าเมื่อไจะออกเมื่อไก็ได้ เรียกว่ามีสมาปัชชนวสี คือ ความคล่องตัวในการเข้าสมาธิ มีวุฏฐานวสี คือ ความคล่องตัวในการออกจากสมาธิ บุคคลประเภทนั้นสามารถที่จะทรงฌานและทำสิ่งต่าง ๆ ไปพร้อมกันได้เหมือนคนปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่จะสังเกตได้ง่าย ก็คือ สิ่งที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นพูดหรือทำจะเป็นอรรถเป็นธรรมทั้งนั้น อะไรที่นอกทุ่งนอกท่าชวนให้ผิดศีลผิดธรรมท่านจะไม่เอาด้วย

ดังนั้น...พวกเราเมื่อฝึกปฏิบัติแล้วต้องซักซ้อมให้คล่องตัว สามารถที่จะใช้งานได้ทุกวินาทีที่ต้องการ ทำให้สภาพจิตของเราเข้าถึงสมาธิระดับที่ปลอดกิเลสได้ในทันทีทันใดที่ต้องการ เมื่อรู้ว่าราคะเกิดขึ้นวิ่งเข้าหาสมาธิ โทสะเกิดขึ้นวิ่งเข้าหาสมาธิ โมหะเกิดขึ้นวิ่งเข้าหาสมาธิ ถามว่า ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้น แล้วจะวิ่งเข้าหาสมาธิได้อย่างไร ? แรกเริ่มที่เกิดกำลังของกิเลสยังต่ำอยู่ ถ้าสมาธิของเราทรงตัว มีกำลังสูงกว่า ก็สามารถที่ฝ่ากองกิเลสเข้าไปสู่ที่มั่นของเราได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2016 เมื่อ 11:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา