ดูแบบคำตอบเดียว
  #40  
เก่า 10-06-2015, 18:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,275 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมถามว่าต้นบัญญัติที่พระพุทธเจ้าห้ามรับเงินรับทอง เกิดจากอะไร ? เกิดจากพระอุปนันทศากยบุตร ท่านมีโยมอุปัฏฐากที่ท่านต้องไปรับบาตรทุกวัน วันนั้นไปถึง โยมบอกว่าไม่มีอาหาร เพราะเมื่อวานเตรียมเนื้อเอาไว้ทำอาหารใส่บาตรตอนเช้า ปรากฏว่าลูกร้องจะกิน จะเป็นจะตายขึ้นมา ก็เลยต้องให้ลูกกินไปก่อน ถ้าพระคุณเจ้าไม่รังเกียจก็ให้รับกหาปณะนี้ไปแทน แล้วเอาเงินถวายแทน

เมื่อพระอุปนันทศากยบุตรรับเอาเงินนั้นมา บาลีท่านว่ามนุษย์ทั้งหลายติเตียนเป็นอันมาก แปลว่าชาวบ้านรู้ดีกว่าพระ บอกว่าพระต้องเสียภาษี เอ๊ย..ไม่ใช่ คนละเรื่องกัน ชาวบ้านก็ช่วยกันติ ช่วยกันโพนทะนาจนเรื่องไปถึงพระพุทธเจ้า สอบถามแล้วว่าเป็นเรื่องจริง พระองค์ท่านก็ตำหนิว่า ”ดูกร..โมฆบุรุษ สิ่งที่เธอทำนั้นไม่ได้ช่วยให้กิเลสลดลงเลย มีแต่ช่วยให้อาสวะนั้นเจริญขึ้น” ท่านก็ว่าของท่านไป แล้วก็บัญญัติห้ามภิกษุรับเงินหรือทองที่ผู้มีจิตศรัทธาถวาย

พระอุปนันทศากยบุตรถือว่าเป็นตระกูลใกล้ชิดพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เป็นต้นบัญญัติสิกขาบทหลายต่อหลายข้อ แล้วก็มีภิกษุฉัพพัคคีย์ ก็คือพวกหก มีพระปัณฑุกะและพระโลหิตกะ เป็นต้น แล้วก็ยังมีประเภทสุดยอดเลย ก็คือพระโลลุทายี ท่านโลลุทายีนี่ต้องบอกว่า สังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ ท่านโลลุทายีเหมาคนเดียวเกือบหมด ประเภทโดนแล้วขาดความเป็นพระแทบทั้งนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-06-2015 เมื่อ 20:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา