พระปฏิปทาเมื่อครั้งบรรพชาเป็นสามเณร
กล่าวกันว่า เมื่อท่านขรัวตาทองกลับมาจากรุกขมูลครั้งนั้น อีกทั้งเหลือเวลาอีกเกือบเดือนก็จะเข้าพรรษาแล้ว ท่านขรัวตาทองดำริว่าสังขารชราภาพมากแล้ว จะไม่ออกธุดงค์อีก
เมื่อเด็กชายสุกมาอยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่านขรัวตาทอง ครั้งนั้นท่านขรัวตาทองมักเล่าเรื่องราวให้เด็กชายสุกฟัง ต่อมาเด็กชายสุกอยากจะออกไปธุดงค์บ้างโดยจะขอตามพระอาจารย์ไป
แต่ท่านขรัวตาทองไม่คิดออกธุดงค์แล้ว แต่ท่านก็เมตตาตาสงสารเด็กชายสุกที่อยากออกธุดงค์บ้าง
อยู่มาวันหนึ่งก่อนเข้าพรรษาประมาณ ๑๐ วัน ท่านขรัวตาทอง เรียกพระอาจารย์แย้มมาบอกว่าฝากวัดไว้สาม-สี่วัน แล้วเรียกเด็กชายสุกมาบอกว่าจะพาออกธุดงค์ไปป่าเขา ท่านขรัวตาทอง ท่านมีอภิญญาจิต ชั่วเวลาไม่เท่าไรท่านก็พาพระอาจารย์สุกมาถึงกลางป่าแห่งหนึ่ง พักปักกลด และออกเดินอยู่สามสี่วัน ท่านก็กลับถึงวัดท่าหอยด้วยเวลาไม่กี่ยาม ด้วยอภิญญาจิต (ย่นระยะทาง)
พระอาจารย์สุกได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งนั้น พระองค์ท่านได้ปรนนิบัติรับใช้ท่านขรัวตาทองผู้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ ซึ่งตอนนั้นท่านทุพพลภาพชราลงมากแล้ว สามเณรสุกได้ผลัดเปลี่ยนกับสามเณรองค์อื่น ๆ คอยดูแลพระอาจารย์ ต้มน้ำร้อน น้ำชา กลางวันพระองค์ท่านทรงเล่าเรียนหนังสือภาษาไทย คัมภีร์จินดามณี
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
|