ในส่วนของการปฏิบัติเพื่อละกิเลสนั้น เมื่อเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัวเต็มที่แล้ว ก็ให้คลายกำลังใจออกมา แล้วพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ให้ยึดถือมั่นหมายตัวตนเราเขาได้ ถ้าหากว่าท่านสามารถทำเช่นนี้ได้ ก็ยังต้องพิจารณาบ่อย ๆ ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะเบื่อจะหน่ายไม่ได้
ในส่วนของวิปัสสนาญาณส่วนอื่น ๆ นั้น เราจะพิจารณาเห็นความเกิดความดับก็ได้ เห็นเฉพาะความดับก็ได้ หรือเห็นว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์เป็นภัย เป็นที่ควรจะละทิ้ง เป็นต้น
ถ้าหากว่าสาวกขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้การภาวนาและพิจารณาสลับกันไปสลับกันมา ก็จะทำให้การปฏิบัติของเราสามารถที่จะก้าวหน้าขึ้นไปได้ แต่ถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติแต่สมถภาวนา คือ การระลึกถึงลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว และโดยเฉพาะตัวคนเดียว การที่เราพินิจพิจารณาก็เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง ผ่อนคลายจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเราเขา จนกระทั่งท้ายที่สุดก็ปล่อยวาง หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน
เราจึงควรที่จะทำสมถะสลับกับการพิจารณาวิปัสสนา คนที่ผูกขาติดกันก็ต้องผลัดกันก้าว ถ้าหากว่าขาซ้ายเป็นสมถภาวนาก้าวแล้ว ขาขวาที่เป็นวิปัสสนาภาวนาก็ก้าวตาม สลับกันไปสลับกันมาแบบนี้ จึงจะบังเกิดผลดีแก่ท่านทั้งหลาย
ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-11-2017 เมื่อ 18:30
|