"องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "ปาปิมะ ดูก่อน..มารผู้เป็นบาป เธอจงอย่าขวนขวายเลย ถ้าหากตถาคตประกาศศาสนาแล้ว บริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถปฏิบัติธรรมได้คล่องแคล่วชำนาญ สามารถแก้ไขปรัปวาท คือคำที่บุคคลกล่าวตู่พระพุทธศาสนาได้ มีความเชี่ยวชาญทั้งปริยัติและปฏิบัติ ตถาคตย่อมเข้าสู่พระนิพพานเอง"
นี่พระพุทธองค์ท่านตั้งความหวังไว้ขนาดนั้น ไหวไหม ? ถึงขนาดว่าถ้าคนอื่นกล่าวตู่พระพุทธศาสนา เราจะต้องแก้ต่างได้ทุกข้อหา ไม่อย่างนั้นก็เสร็จเขาแน่
พอมาพรรษาสุดท้าย พญามารถึงได้มาทูลอาราธนา พระพุทธเจ้าทรงทราบไว้ก่อนแล้ว พยายามแสดงนิมิตโอภาสถึง ๑๖ ครั้งต่อพระอานนท์ โดยทรงเปรียบเทียบไปต่าง ๆ นานา อย่างเช่นว่า "อานันทะ ดูก่อน..อานนท์ สมมติว่ามีเกวียนอยู่เล่มหนึ่ง เก่าคร่ำคร่าเต็มทีแล้ว ดุมก็ใกล้จะหัก ไม้ก็ผุ ตัวเกวียนก็คลอนแคลน แทบไม่สามารถที่จะใช้งานไหวแล้ว ควรจะซ่อมดีหรือควรจะเปลี่ยนเกวียนใหม่ดี ?"
ต้องบอกว่าด้วยกรรมบันดาล ทำให้พระอานนท์ทูลตอบว่า ควรที่จะเปลี่ยนเกวียนใหม่ดีกว่า เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าจึงรับอาราธนาพญามารว่า ถัดจากนี้ไปอีก ๓ เดือน เราจะปรินิพพานที่สาลวโนทยาน แห่งเมืองกุสินารา
ทันทีที่พระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารว่าอีก ๓ เดือนจะปรินิพพาน ก็เกิดแผ่นดินไหว พระอานนท์ท่านมีความดีว่า ถ้าสงสัยท่านจะถาม อยู่ ๆ แผ่นดินไหวโครมครืนขึ้นมาเฉย ๆ ก็เข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า แผ่นดินไหวด้วยเหตุใด ?
พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสถึงสาเหตุของแผ่นดินไหวมีทั้งหมด ๘ ประการ ประการหนึ่งได้กล่าวว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารถึงได้เกิดแผ่นดินไหว พอพระอานนท์ได้ยินอย่างนั้นก็เฉลียวใจวูบเลย รีบกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ถ้าอย่างนั้นขออาราธนาให้อยู่ตลอดกัปเถิด พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ทันแล้ว เพราะเราได้รับอาราธนาจากพญามารไว้แล้ว"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2011 เมื่อ 03:10
|